Page 76 - kpiebook66025
P. 76
76 การรวมกลุ่มในรัฐสภาเพื่อกิจกรรมทางการเมืองของรัฐสภาอินโดนิเซีย
เพราะระบบการควบคุมอ�านาจเบ็ดเสร็จของฝ่ายบริหารของรัฐบาลสุฮาร์โต ท�าให้
บทบาทของรัฐสภา และพรรคการเมืองอื่น ๆ ถูกท�าให้หายไปจากวงการเมืองอินโดนีเซีย
ความมีชีวิตชีวาของการเมืองอินโดนีเซียกลับมาคึกคักอีกครั้งหลังสิ้นสุด
ยุคระเบียบใหม่ พร้อมทั้งกลุ่มการเมืองในรัฐสภาก็เริ่มกลับมามีบทบาทชัดเจนอีกครั้ง
ในปี 1998 ซึ่งเป็นปีแห่งการสิ้นสุดยุคสุฮาร์โตและเป็นการเริ่มต้นกระบวนการสร้าง
ประชาธิปไตยที่แท้จริง หลังจากอินโดนีเซียต้องเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจท�าให้ระบบ
เศรษฐกิจของประเทศล่มสลาย นักศึกษา ประชาชนเรือนแสนลุกฮือกันประท้วงต่อต้าน
ประธานาธิบดีสุฮาร์โต เรียกร้องให้มีการปฏิรูปทุกภาคส่วนทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ
ความเปลี่ยนแปลงที่ส�าคัญ คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลง
ทางการเมืองครั้งใหญ่ในอินโดนีเซีย ทั้งการเลือกตั้ง การจัดตั้งพรรคการเมือง การได้มา
ซึ่งประธานาธิบดีและสมาชิกรัฐสภา เป็นต้น การท�าให้สภาผู้แทนราษฎรมีอ�านาจ
อย่างเหมาะสมโดยสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองแบบใหม่ซึ่งท�าให้สภาผู้แทนราษฎร
เป็นสถาบันทางการเมืองและมีอ�านาจในการตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ
การด�าเนินงานทางการเมืองและขับเคลื่อนนโยบายของประเทศ
การแก้ไขกฎหมายพรรคการเมืองในยุคปฏิรูปที่ผ่านการรับรองในเดือนมกราคม
ปี 1999 มีพรรคการเมืองใหม่ ๆ เกิดขึ้นจ�านวนมาก โดยประธานาธิบดีฮาบิบีได้ให้
สัญญาว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญและมีการกระจายอ�านาจจากส่วนกลางไปสู่ภูมิภาค
จึงกล่าวได้ว่าเป็นการปฏิรูปการเมืองของอินโดนีเซียที่แท้จริง กุญแจส�าคัญ คือ
การเป็นอิสระมากขึ้นในการก่อตั้งพรรคการเมืองโดยจ�ากัดว่าต้องมีสมาชิกอย่างน้อย
50 คนในการก่อตั้งพรรคการเมือง จึงท�าให้เกิดการจัดตั้งพรรคการเมืองมากถึง
46
184 พรรคการเมือง และมี 141 พรรคการเมืองที่ได้รับการรับรองเป็นนิติบุคคล
พรรคการเมืองและกฎหมายการเลือกตั้งได้ส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการสร้างพลัง
ของการรวมกลุ่ม ดังนั้น การรวมกลุ่มตามระบบพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นในยุคปฏิรูป
และมีการเปลี่ยนแปลงมาตลอดในรูปแบบของการรวมกลุ่ม รูปแบบของการน�าเสนอ
46 อรอนงค์ ทิพย์พิมล, “พรรคการเมืองอินโดนีเซีย : จากการต่อสู้เพื่อเอกราชสู่การพัฒนาประชาธิปไตย
ภายใต้การปฏิรูปรัฐธรรมนูญ,” ใน พิศพรรคการเมือง : หลากมุมมอง หลายประเทศ,. วุฒิสาร ตันไชย
และคณะ (บรรณาธิการ) (กรุงเทพ ฯ : สถาบันพระปกเกล้า, 2565) น. 105 – 112.