Page 32 - kpiebook65062
P. 32
การเมืองการปกครอง
ในช่วงเก้าปีแห่งรัชสมัย รัชกาลที่ ๗ ทรงตระหนักดีถึงความจำเป็นในการปฏิรูปการเมือง
การปกครองของสยามให้ทันกับสภาวะเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมาตั้งแต่
รัชกาลก่อน สำหรับการบริหารราชการแผ่นดินนั้น โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งอภิรัฐมนตรีสภาขึ้นในปีแรก
๑๕
ของรัชกาล สำหรับพระเจ้าแผ่นดินทรงปรึกษาราชการเป็นการพิเศษ มีบทบาทในการถวายคำปรึกษา
ในการกำหนดนโยบาย ประสานกับองค์กรที่มีมาแต่เดิมคือเสนาบดีสภาและคณะองคมนตรี และ
ต่อมายังทรงตั้งสภากรรมการองคมนตรี (Privy Council) โดยกำหนดบทบาทใหม่ ให้มีอำนาจคล้าย
อำนาจนิติบัญญัติ แตกต่างจากเสนาบดีสภา ซึ่งมีอำนาจบริหาร ๑๖
แนวพระราชดำริทางการเมืองที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือการพัฒนาการปกครองราชอาณาจักร
สยามให้เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขในรัฐธรรมนูญ มีรัฐสภา
และมีนายกรัฐมนตรีรับสนองพระบรมราชโองการ โดยที่ ใน พ.ศ. ๒๔๖๙ รัชกาลที่ ๗ โปรดเกล้าฯ
ให้พระยากัลยาณไมตรี (Francis B. Sayre) ถวายความเห็นเรื่องแนวทางในการเปลี่ยนแปลงระบอบ
๑๗
การปกครองพร้อมร่างรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี เมื่อรัชกาลที่ ๗ โปรดเกล้าฯ ให้นำความเห็นของ
พระยากัลยาณไมตรีเข้าสู่ที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภา คณะอภิรัฐมนตรีก็มีความเห็นว่าประเทศสยาม
น่าจะยังไม่พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปสู่ระบอบ
ประชาธิปไตยดังกล่าวในเวลานั้น หากรัฐบาลควรมุ่งปรับปรุงระบบการบริหารราชการให้มี
ประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกว่าเดิมมากกว่า
จากกรอบความคิดดังกล่าว ตลอดรัชสมัยของพระองค์ รัชกาลที่ ๗ มีพระราชดำริที่จะวาง
รากฐานการเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตยให้แก่ประชาชนในเบื้องต้นในหลายรูปแบบ ทั้งแนว
ความคิดเรื่องเทศบาล (municipality) คือการปกครองที่กระจายอำนาจให้ท้องถิ่นบริหารงบประมาณ
และกำหนดนโยบายในการพัฒนาท้องถิ่นเอง เพื่อฝึกหัดให้ประชาชนรู้จักการใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง
ตัวแทนเข้าไปดำเนินกิจการของท้องถิ่น โดยรัชกาลที่ ๗ โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทย
ตั้งคณะกรรมการร่างพระราชบัญญัติเทศบาลขึ้น ใน พ.ศ. ๒๔๗๓ คณะกรรมการดังกล่าวร่าง
พระราชบัญญัติเทศบาลแล้วเสร็จแต่ยังมิทันได้ประกาศใช้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้น
เสียก่อน ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ พระราชบัญญัติดังกล่าวจึงประกาศใช้ในเวลาต่อมา คือ ใน พ.ศ. ๒๔๗๖ ๑๘
แนวพระราชดำริเกี่ยวกับการปกครองท้องที่ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือการทดลองตั้งสภา
จัดบำรุงสถานที่ ชายทะเลทิศตะวันตก ขึ้น ใน พ.ศ. ๒๔๖๙ ตามพระราชบัญญัติจัดบำรุงสถานที่
๑๙
ชายทะเลทิศตะวันตก (The Western Seaside Resorts Act B.E. 2469) มีอำนาจครอบคลุมพื้นที่
21