Page 216 - kpiebook65024
P. 216
215
ไม่ให้มีการตรวจสอบการกระท�าทางรัฐบาลมากเกินไป อันจะส่งผลกระทบต่ออ�านาจ
ตัดสินใจขององค์กรของรัฐฝ่ายบริหาร (สุชาดา เรืองแสงทองกุล, 2560) ดังนั้น
ศาลรัฐธรรมนูญที่ใช้อ�านาจในการวินิจฉัยปัญหาว่า ลักษณะใดที่เข้าข่ายเป็น “การกระท�า
ทางรัฐบาล” หรือไม่นั้น ศาลรัฐธรรมนูญควรใช้อ�านาจด้วยความระมัดระวัง เพราะต้อง
จ�ากัดการใช้อ�านาจดังกล่าวเฉพาะในการชี้ขาดในประเด็นปัญหาดังกล่าวว่าเป็น “เป็น”
หรือ “ไม่เป็น” การกระท�าทางรัฐบาลเท่านั้น ดังนั้นศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้มีอ�านาจ
ที่จะเข้าไปวินิจฉัยถึง “ความชอบ” หรือ “ความไม่ชอบ” ด้วยกฎหมายของ
“การกระท�าทางรัฐบาล” (เกรียงไกร เจริญธนาวัฒน์, 2554) เพื่อด�ารงไว้ซึ่งความสมดุล
และสอดคล้องกับหลักการแบ่งแยกอ�านาจและหลักการของนิติรัฐ
ประเด็นปัญหาตุลาการภิวัตน์ ได้มีการหยิบยกขึ้นมาถกเถียงในสังคมอีกครั้ง
ล่าสุด อันเนื่องมาจากค�าวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 20/2564 ซึ่งเกิดมาจากการที่
กลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศพยายามผลักดันให้เกิดการสมรสเท่าเทียมภายใต้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยใช้แนวทางการผลักดันเช่นเดียวกับแนวทางที่
เกิดขึ้นในไต้หวัน ที่มีการยื่นค�าร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญไต้หวันว่าการห้ามเพศเดียวกัน
สมรสตามที่ก�าหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไต้หวัน เป็นการขัดต่อ
รัฐธรรมนูญของไต้หวัน และในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2017 ศาลรัฐธรรมนูญของไต้หวัน
ได้ตัดสินว่าการที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ห้ามการสมรสของคู่รักเพศเดียวกัน
เป็นเรื่องที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญของไต้หวัน เพราะเป็นการละเมิดเสรีภาพในการสมรสของ
ประชาชนและความเท่าเทียมกันระหว่างบุคคลทุกคนตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ
ซึ่งศาลได้ก�าหนดระยะเวลา 2 ปี ให้การตรากฎหมายที่ให้การรับรองการสมรสระหว่าง
คนเพศเดียวกันได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเป็นที่มาของการตรากฎหมาย Same
Sex Marriage Act