Page 130 - kpiebook65024
P. 130

129




           ต่อมารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2475 (แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2495) และฉบับ พ.ศ. 2511

           ยืนเจตนารมณ์ตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2492 แต่รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2517 มาตรา
           62 ระบุเจตนารมณ์แตกต่างออกไปว่า “เพื่อเป็นแนวทางส�าหรับการตรากฎหมายและ
           การก�าหนดนโยบาย” อันแสดงถึงการเปลี่ยนจุดเน้นจาก “การบริหารราชการตาม

           นโยบายที่ก�าหนด” มาเป็น “การก�าหนดนโยบาย” ซึ่งต่อมารัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ .

           2521, ฉบับ พ.ศ. 2534, ฉบับ พ.ศ. 2534/2538 และฉบับ พ.ศ. 2540 ก็ได้ยืนเจตนา
           รมณ์ตามรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2517


                  แนวนโยบายแห่งรัฐในฉบับก่อน ๆ เป็นเพียงหลักการหรือจุดมุ่งหมายของ
           นโยบายของรัฐเท่านั้น มิได้เป็นข้อบังคับว่าตัวนโยบายนั้นต้องกระท�าส�าเร็จตามนโยบายนั้น
           หรือไม่ มิได้บังคับให้รัฐจะต้องปฏิบัติจัดท�าในทันทีทันใด รัฐจะท�าหรือไม่ท�าขึ้นอยู่กับ

           ทรัพยากรและฐานะทางการเงินและความเป็นอยู่ของประเทศ ดังนั้น บทบัญญัติที่

           เกี่ยวกับแนวนโยบายแห่งรัฐในฉบับเก่า ๆ จะใช้ค�าว่า “รัฐพึงจะต้องท�า......” จึงไม่มี
           ผลบังคับโดยกฎหมายเมื่อจะต้องกระท�าหรือไม่กระท�าอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ทั้งนี้
           ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้มีการบัญญัติค�าใหม่จาก

           “รัฐพึงจะต้อง” เป็น “รัฐต้อง” ดังนั้น ในการบังคับใช้ต่าง ๆ ก็ยังเป็นการก�าหนดเพียง

           เป็นแนวทางเท่านั้น (จารุวรรณ สุขุมาลพงษ์, 2565)

                  รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540 และฉบับ พ.ศ.2550 ใช้ชื่อเรียกเหมือนกัน คือ

           แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐมีลักษณะเป็นแนวนโยบายพื้นฐาน ไม่ใช่นโยบายทั่วไป
           ที่อาจเปลี่ยนแปลงได้เหมือนที่ผ่านมา สภาร่างรัฐธรรมนูญในปี 2540 ยังคงรักษา

           ส่วนส�าคัญของสภาพบังคับที่ก�าหนดไว้เหมือนเดิม คือการใช้เป็นแนวทางในการตรา
           กฎหมายและการก�าหนดนโยบายบริหารราชการแผ่นดิน เนื่องจากเดิมหากรัฐไม่ปฏิบัติ

           ตามแนวนโยบายแห่งรัฐ ประชาชนจะไม่สามารถน�ามาเป็นเหตุในการฟ้องร้องรัฐได้
   125   126   127   128   129   130   131   132   133   134   135