Page 69 - kpiebook64015
P. 69
การเมืองที่พึ่งพาการสนับสนุนทางการเงินจากภาครัฐหรือที่เรียกว่า “Cartel Party” ทำให้พรรคการเมืองสร้าง
ความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับภาครัฐมากกว่าประชาชนในพื้นที่ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เงินสนับสนุนพรรคการเมืองยังทำให้พรรคการเมืองไม่พยายามหารายได้เข้าพรรค แต่จะหัวงพึ่งเงิน
สนับสนุนจากภาครัฐเท่านั้น พรรคการเมืองจึงอาจกลายเป็นองค์กรของรัฐมากกว่าองค์กรของประชาชน หรือเป็น
ตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง ทั้งนี้ มีนักวิชาการแนะนำว่า เงินสนับสนุนพรรคการเมืองควรเป็นเพียงแค่รายได้
ที่ช่วยสนับสนุนพรรคการเมืองส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ควรเป็นรายได้หลักของพรรค เงินสนับสนุนพรรคการเมืองที่เริ่มมี
การพัฒนาจากยุโรปตะวันตกกลายเป็นปัจจัยสำคัญต่อพรรคการเมืองในปัจจุบัน และแนวคิดเรื่องการจัดสรรเงิน
สนับสนุนพรรคการเมืองดังกล่าวได้ขยายไปสู่ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก แต่ก็มีนักวิชาการที่เห็นแย้งว่า การได้รับ
114
เงินสนับสนุนจากรัฐ ไม่ได้ทำให้พรรคการเมืองต้องกลายเป็นองค์กรของรัฐ เพราะมีพรรคการเมืองที่ได้รับการ
สนับสนุนเงินทุนจากรัฐ และยังสามารถคงความเป็นองค์กรเอกชน (private organization) ในกิจการภายในของ
พรรคและไม่ได้เปิดให้มีการตรวจสอบจากภายนอกอย่างจริงจัง ทั้งนี้ขึ้นอยู่ว่า พรรคการเมืองถูกควบคุมโดยกฎหมาย
มหาชนมากน้อยเพียงใด แต่อย่างไรก็ตาม การจะจัดว่าพรรคการเมืองเป็นองค์กรเอกชนหรือมหาชนนั้นยังมี
115
ปัญหายุ่งยากมาก และยังคงเป็นเรื่องที่จะต้องถกเถียงกันต่อไปในหมู่นักรัฐศาสตร์และนักนิติศาสตร์ แต่ที่พอจะกล่าว
ได้อย่างหนึ่งก็คือ หากในกรณีที่พรรคการเมืองได้รับเงินสนันสนุนจากรัฐเป็นจำนวนมากก็จะมีข้อผูกมัดเกี่ยวกับ
กิจกรรมทางการเงินภายใต้กฎหมายมหาชนหรือพระราชบัญญัติพรรคการเมืองมากกว่ากรณีที่พรรคการเมืองได้รับ
เงินสนับสนุนน้อยหรือไม่ได้รับเลย อย่างในกรณีของประเทศไทย มีการจัดสรรเงินสนับสนุนพรรคการเมืองที่เรียกว่า
“เงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง” โดยมีหลักเกณฑ์การจัดสรรดังต่อไปนี้คือ
(1) เงินที่ได้รับจากกรมสรรพากรตามมาตรา 69 ที่มีผู้เสียภาษีเงินได้ซึ่งมิใช่นิติบุคคลแสดงเจตนาในแบบ
แสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี ให้รัฐนำเงินที่ตนได้เสียภาษีไว้ไปอุดหนุนพรรคการเมืองที่ตนระบุ
พรรคใดพรรคหนึ่งปีละห้าร้อยบาท
(2) ร้อยละ 40 ของวงเงินจัดสรรนอกจาก (1) ให้จัดสรรให้ตามจำนวนเงินค่าบำรุงพรรคการเมืองที่พรรค
การเมืองได้รับ โดยแต่ละพรรคการเมืองให้ได้รับตามอัตราส่วนระหว่างจำนวนเงินค่าบำรุงพรรคการเมืองที่ทุกพรรค
การเมืองได้รับรวมกันในปีที่ผ่านมาต่อจำนวนเงินค่าบำรุงที่พรรคการเมืองนั้น ๆ ได้รับมาในปีที่ผ่านมา แต่เงินที่
จัดสรรให้ต้องไม่เกินเงินค่าบำรุงพรรคการเมืองที่พรรคการเมืองนั้นได้รับจากสมาชิกในปีที่ผ่านมา
(3) ร้อยละ 40 ของวงเงินจัดสรรนอกจาก (1) ให้จัดสรรให้ตามคะแนนเสียงที่พรรคการเมืองได้รับจากการ
เลือกตั้งทั่วไปสำหรับปีถัดจากปีที่มีการเลือกตั้งทั่วไป โดยแต่ละพรรคการเมืองให้ได้รับตามอัตราส่วนระหว่าง
114 พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์, “การศึกษาเปรียบเทียบเงินสนับสนุนพรรคการเมืองในประเทศไทยและอินโดนีเซีย: นำไปสู่การพัฒนา
พรรคการเมืองหรือคอร์รัปชั่น” อ้างใน ว่าด้วย “ เงินอุดหนุนพรรคการเมือง: ไทย เทียบตัวอย่างจะๆกับอารยะประเทศ” TCIJ 25
ธ.ค. 2559 https://www.tcijthai.com/news/2016/25/scoop/6614
115 Anika Gauja, Political Parties and Elections: Legislating for Representative Democracy, (London: Routledge,
2010), pp. 12-14.
69