Page 50 - kpiebook64015
P. 50

วิวัฒนาการของพรรคการเมืองในประเทศที่เป็นต้นแบบประชาธิปไตยย่อมรู้ว่า ทฤษฎีการเกิดพรรคการเมืองนั้น

              พัฒนามาจากกลุ่มผลประโยชน์  หากไม่ได้พัฒนามาจากกลุ่มผลประโยชน์หรือกลุ่มก้อนสมาคมเอกชน  ก็อาจจะ
              เป็นกลุ่มชาตินิยมที่รวมตัวกันต่อสู้เรียกร้องเอกราชในกรณีที่ประเทศนั้นตกเป็นอาณานิคมหรืออยู่ภายใต้การ

              ปกครองของประเทศอื่น  หรือไม่ก็เป็นกลุ่มที่เรียกร้องต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ประชาธิปไตย

                     อย่างในกรณีของไทย  คือ สมาคมกลุ่มคณะราษฎรที่ต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ
              สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ และมีความพยายามจะตั้งพรรคการเมืองขึ้น

              ทั้งจากฝั่งกลุ่มคณะราษฎรและกลุ่มที่อยู่ตรงข้าม อย่างเช่น  คณะชาติ (ที่ถูกมองจากฝ่ายคณะราษฎรว่าเป็นพรรค

              กษัตริย์ และคณะราษฎรในสายปรีดี พนมยงค์ก็ถูกมองว่าเป็นคอมมิวนิสต์)   แต่ก็ไม่สามารถตั้งได้ทั้งคู่ดังที่ได้กล่าว
              ไปข้างต้น แต่ปัญหาของกลุ่มการเมืองในประเทศไทยในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2475-2490 เป็นความขัดแย้งต่อนัย

              ความหมายและเนื้อหาสาระของระบอบการเมืองที่แต่ละฝ่ายเห็นต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นความหมายของระบอบ
              พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะขอบเขตของพระราชอำนาจ หรือความหมายของประชาธิปไตยและ

              คอมมิวนิสต์  จึงทำให้ยังไม่ลงตัวในเรื่องการมีพรรคการเมือง เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ต่างฝ่ายต่างระแวงว่า

              หากจัดตั้งพรรคการเมืองแล้วอาจจะนำไปสู่การแบ่งแยกผู้คนในประเทศออกเป็นฝักฝ่ายผ่านการเลือกตั้ง และอาจ
              นำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงจนนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพของระบอบการเมืองและอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง

              ระบอบ (regime change) ที่ไม่รู้ว่าจะลงเอยด้วยชัยชนะของฝ่ายใด  ซึ่งการมีพรรคการเมืองที่เป็นคู่ขัดแย้งใน
              ลักษณะนี้ ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อการเมืองของประเทศนั้นๆ เพราะไม่ได้ต่อสู้กันที่นโยบายสาธารณะเท่ากับการ

              เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง  เพราะอย่างในกรณีของสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) การต่อสู้ระหว่างฝ่ายกษัตริย์

              และฝ่ายรัฐสภาที่เป็นการต่อสู้ในประเด็นขอบเขตพระราชอำนาจและอำนาจของรัฐสภา ซึ่งก็คือการต่อสู้ในประเด็น
              ระบอบการปกครองนั่นเอง ได้ลงเอยด้วยชัยชนะของฝ่ายรัฐสภา และต่อมาแม้ว่าจะมีกลุ่มการเมืองสองกลุ่มใน

              รัฐสภาที่มีความเห็นต่าง อันได้แก่ กลุ่มที่เรียกว่าทอรี่ (Tory) และกลุ่มวิก (Whigh)  ทั้งสองกลุ่มนี้มิได้ขัดแย้งกันใน

              ประเด็นเรื่องระบอบ เพราะทั้งสองกลุ่มต่างปฏิเสธระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์  และต้องการระบอบปริมิตตาญา
              สิทธิราชย์ (Limited Monarchy) หรือระบอบกษัตริย์ในรัฐสภา (King in Parliament) ที่ ณ เวลานั้น ยังไม่มีการ

              เรียกว่าระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) แต่ประเด็นหลักที่สองกลุ่มนี้

              ขัดแย้งกันหลังจากเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นปรมิตตาญาสิทธิราชย์คือ
              ประเด็นการสืบราชสันตติวงศ์  ดังนั้น กลุ่มการเมืองทั้งสองนี้ที่ต่อมาพัฒนาเป็นพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยมและเสรี

              นิยมที่ต่อสู้แข่งขันกัน จึงไม่ได้เป็นปัจจัยที่อันตรายต่อเสถียรภาพของระบอบเหมือนอย่างในกรณีของไทยในช่วง
              ดังกล่าว

                     ขณะเดียวกัน การเกิดพรรคการเมืองที่ไม่ได้มีรากฐานและวิวัฒนาการจากการเป็นกลุ่มผลประโยชน์หรือ
              การเป็นกลุ่มสมาคมเอกชนที่มีประวัติศาสตร์การเรียกร้องต่อสู้ทางสังคมเศรษฐกิจการเมืองมาก่อน ก็อาจจะเกิดเป็น

              พรรคการเมืองขึ้นโดยทันทีภายใต้เงื่อนไขทางกฎหมาย อันหมายความว่าการก่อตั้งพรรคการเมืองในเงื่อนไขบริบท

              แบบนี้ ไม่จำเป็นต้องมีวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ใดๆมาก่อน และไม่ได้สถานะของกลุ่มผลประโยชน์หรือสมาคม








                                                            50
   45   46   47   48   49   50   51   52   53   54   55