Page 177 - kpiebook62014
P. 177
เห็นว่ามีความส าคัญพอๆกัน โดย “ญาติ” จะมีความส าคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ “เงิน” จะเป็นตัวตัดสินว่าผู้ใดจะ
ชนะในขั้นสุดท้าย และโดยที่จ านวนญาตินั้นและการใช้เงินนั้นมีความส าคัญแตกต่างกันไปตามยุคสมัยด้วย แต่
เดิมการเป็นญาติกันมีความส าคัญอย่างยิ่ง การที่ญาติได้รับการเลือกเป็นผู้แทนจะสร้างความภูมิใจให้แก่ผู้เป็น
ญาติอีกด้วย ดังที่ ตา กล่าวว่า ถ้าญาติได้ ผู้เป็นญาติก็ “ได้หน้า” ไปด้วยนั่นเอง ค าให้สัมภาษณ์ของ ส.ค. ก็แสดง
ให้เห็นว่าแต่เดิมการเลือกผู้แทนระดับท้องที่นั้นไม่ได้ใช้จ่ายเงินแต่ใช้การเลี้ยงอาหารแจกหมากแจกพลู จึง
กลายเป็นวัฒนธรรมเรื่อง “การให้” แต่ไม่ได้มีการแจกเงิน ส่งผลให้ผู้ที่มีญาติมากกว่าย่อมมีสิทธิที่จะชนะการ
เลือกตั้งได้มากกว่า
อย่างไรก็ตาม ต่อมาเมื่อการเมืองระดับชาติเข้ามามีอิทธิพลมากขึ้น จึงท าให้เริ่มมีการใช้เงินในการซื้อ
เสียง ซึ่งหากมีการใช้จ่ายเงินแล้วจะมีลักษณะของการบานปลายออกไปเพราะแต่ละฝ่ายที่ลงแข่งขันเลือกตั้งย่อม
ไม่มีฝ่ายใดอยากแพ้ ดังที่ Soldier 1 กล่าวว่า “ถ้าใครได้ลงจะรู้ มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี ยอมไม่ได้” และด้วย
เหตุผลนี้เองจึงท าให้เกิดการลงทุนทางการเมืองจ านวนมากที่ส่งผลต่อการแพ้ไม่ได้และน าไปสู่ความขัดแย้งใน
เวลาต่อมา ส่งผลให้กลายเป็นวัฒนธรรม ท าให้คนส่วนใหญ่ยังมีความคิดว่า “เงินไม่มากาไม่เป็น” ดังที่ Oldy
กล่าว ซึ่ง Oldy กล่าวว่า “กระสุน” หรือเงินมักมาในคืนสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งและชาวบ้านจะรอคืนนั้น ชบ. 1
ก็ยอมรับว่าหากไม่ได้เงิน “คนก็คงไม่ไป “ทิ้งบัตร” กันเยอะเหมือนกัน” แสดงให้เห็นว่า เงินเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่
จะส่งผลต่อชัยชนะในการเลือกตั้ง
ซึ่งเรื่องนี้ส่งผลให้ เงื่อนไขเรื่องญาติจากเดิมคือตัวแปรส าคัญ แต่หากมีเงินเข้ามาเป็นตัวแปร ก็อาจท าให้
ญาติที่ไม่ได้เงินมีการแปรพักตร์ได้ ดังที่ ช.ย. และ ส.ค. บอกว่าการให้เงินก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าผู้นั้นจะชนะ
การใช้เงินเป็นตัวแปรนั้นมีความเสี่ยงมากที่จะไม่ได้ผลอะไรเลย เพราะต้องมีการประเมินด้วยว่าผู้ที่จ่ายเงินให้
นั้นจะลงคะแนนให้หรือไม่ด้วย แต่เมื่อมีการจ่ายเงินแล้วจะต้องจ่ายให้ครบไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาเรื่องความไม่
เป็นธรรม และปัญหานี้คือปัญหาใหญ่ที่ส่งผลให้เมื่อมีการเลือกตั้งผู้สมัครต้องลงทุนทางการเมืองสูง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันที่ผู้คนมีการศึกษามากขึ้น ความดีและเงินอาจจะต้องมาด้วยกัน ดังที่ จิ๋วบอกว่า
“หากไม่มีเงินก็พัฒนาไม่ได้” กระนั้น หากมีความดีเพียงอย่างเดียวแต่ไม่มีเงินก็อาจแพ้การเลือกตั้งได้เช่นกัน
ดังที่ผู้น าหลายคนกล่าวตั้งแต่ช่วงแรกๆว่า “บักดี มักแพ้ บักมี” เพราะเมื่อถึงช่วงของการเลือกตั้งความดีต่างๆที่
ท าไว้ชาวบ้านจะลืมไปหมด ดังที่ สท.ผู้หนึ่งกล่าวไว้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคิดว่าเรื่องการให้เงินเป็น
“วัฒนธรรม” ดังที่ ส.น. บอกว่าแม้จะมีการรณรงค์เลือกตั้งไม่ซื้อสิทธิขายเสียงแต่ขณะนี้ก็ยังมีคนพูดว่า “ใครให้
เงินมาก็เอาบักนั้น” แม้ ส.น.เองจะกล่าวว่าพบเรื่องนี้น้อยลงก็ตาม
ในทางกลับกัน หากมีเงินเพียงอย่างเดียวก็อาจไม่ได้รับเลือกเช่นกัน เพราะว่าตัวบุคคลก็ยังมีความส าคัญ
ต่อการตัดสินใจ ดังที่ บ.2 และ Soldier1 กล่าวตรงกันว่า คนส่วนใหญ่ให้เงินหรือไม่ให้เงินก็มี “คนในใจ” อยู่
แล้ว จากข้างต้นจึงอาจสรุปไม่ได้ทันทีว่าการใช้เงินในการหาเสียงจะช่วยให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้ง เพราะ
161