Page 43 - 30422_Fulltext
P. 43

| 34

                  อ านาจอันยาวนานภายในรัฐ ทั้งนี้ งานของ Wolfsfeld, Segev, & Sheafer (2013, p. 118) ระบุว่า อีกชื่อ

                  เรียกคู่ขนานของอาหรับสปริง คือ “Facebook Revolution” และถึงแม้จะมีการวิพากษ์กรณีของอาหรับสปริง
                  โดยนักวิชาการว่าไม่ควรมองโซเชียลมีเดียหรือการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตว่าเป็นผู้สร้างหลักในการเกิดเหตุการณ์

                  อาหรับสปริง ในกรณีของ Norris (2012) มองว่าเครือข่ายทางสังคม มีความส าคัญมาตั้งแต่ก่อนการเข้าถึง

                  อินเทอร์เน็ต และ Comunello and Anzera (2012) มองว่ากระบวนการวิเคราะห์โดยให้ความส าคัญกับ
                  ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะมองไปยังภาพรวมของเหตุการณ์อาหรับ

                  สปริง หากแต่จะต้องให้ความส าคัญกับบริบททางทฤษฎีของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศด้วย (Norris, 2012

                  as cited in Wolfsfeld, Segev, & Sheafer, 2013, p.   118; Comunello and Anzera, 2012 as cited in
                  Wolfsfeld, Segev, & Sheafer, 2013, p. 118) อย่างไรก็ตาม ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าผลิตภัณฑ์โซเชียลมีเดียอย่าง

                  Facebook และ Twitter เป็นตัวจุดประกายให้เกิดความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการของประชาชนในระดับ

                  วงกว้าง และความสัมพันธ์แบบหลวมนี้ ก่อก าเนิดให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ทั้งในด้านความคิด
                  ทางการเมือง การแลกเปลี่ยนข้อมูลมหาศาลผ่านเหตุการณ์จริง เช่น เรื่องเล่า รูปภาพ คลิปวิดีโอ การสร้าง

                  อารมณ์ร่วมของผู้ใช้งานโซเชียลมีเดีย จนน าไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในความเป็นจริง


                         ข้อดีหลักของสื่อใหม่ คือ ความสามารถในการเข้าถึงผู้รับสารที่สามารถขยายขอบข่ายการเข้าถึง
                  ได้อย่างไม่จ ากัด และการลดต้นทุนด้านเวลาในการเข้าถึงผู้รับสาร อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของสื่อใหม่ คือ

                  เมื่อความสามารถในการขยายขอบข่ายถึงผู้รับสารเพิ่มสูงขึ้น พื้นที่ส าหรับสื่อมวลชนมีปริมาณมากขึ้นอย่าง

                  ไม่จ ากัด ก่อให้เกิดสภาวะปัญหาของการล้นเกินทางข้อมูล และการเปิดพื้นที่ของสื่อใหม่ส่งผลให้เกิดการสื่อสาร
                  และสารในปริมาณมหาศาล ทั้งที่เป็นข้อมูลที่ถูกต้องและข้อมูลที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริง


                  ข่าวปลอม (Fake News)


                         ข่าวปลอม (Fake News) ถือเป็นปัญหาส าหรับความน่าเชื่อถือของสื่อมวลชนในปัจจุบัน ทั้งนี้
                  ค าว่า “ข่าวปลอม” ได้กลายเป็นค าที่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายตั้งแต่ช่วงการเลือกตั้งเพื่อชิงต าแหน่ง

                  ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 2016 ระหว่าง Hillary Clinton จากพรรคเดโมแครต และ Donald J.

                  Trump จากพรรครีพับลิกัน (Albright, 2017; Vargo, Guo, & Amazeen, 2018; Quandt, Frischlich,
                  Boberg, & Schatto-Eckrodt, 2019) ทั้งนี้ ค าว่า “Fake News” ได้ถูกยกให้กลายมาเป็น “ค าแห่งปี”

                  ในปี ค.ศ. 2017 โดย Collins Dictionary (Quandt, Frischlich, Boberg, & Schatt-Eckrodt, 2019, p. 1)

                  Alcott and Gentzkow (2013, p. 213) ระบุว่า “ข่าวปลอม” คือ บทความข่าวที่จงใจให้เนื้อความข่าวนั้น
                  เป็นเท็จ และสามารถส่งผลให้ผู้อ่านเข้าใจผิดในความเท็จนั้นว่าเป็นข้อมูลจริง ทั้งนี้ จะต้องไม่นับว่า การเขียน

                  ข่าวที่บิดเบือนจากความเป็นจริงอันเกิดจากการเข้าใจผิดของผู้เขียนเป็นข่าวปลอม เพราะข่าวปลอมในบริบทนี้

                  จะต้องเป็นไปด้วยความ “จงใจ” ให้เกิดความบิดเบือน มิใช่เกิดจากความประมาทของผู้ส่งสาร นอกจากนี้
   38   39   40   41   42   43   44   45   46   47   48