Page 156 - b29420_Fulltext
P. 156

แน่นอนว่าการก้าวข้ามความกลัวการเปลี่ยนแปลงนั้นอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายความเชื่อของคนบางกลุ่ม

               เป็นสิ่งที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้ง่ายๆ เพราะการก้าวข้ามไปสู่สิ่งใหม่นั้นสัมพันธ์กับความเชื่อและวัฒนธรรมอย่าง
               ใกล้ชิด การสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างให้เกิดคู่ขนานกันไป โดยเฉพาะอย่าง

               ยิ่งการปรับเปลี่ยนความเชื่อและวัฒนธรรมที่ขัดขวางต่อการพัฒนาประชาธิปไตยและการเลือกตั้งสมานฉันท์และไม่

               ซื้อสิทธิขายเสียง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนับญาติ การยึดถือบุญคุณ ที่ทำให้การตัดสินใจเลือกผู้นำตั้งอยู่บนฐานของ
               ความสนิทชิดเชื้อการอุปถัมภ์จุนเจือกันที่ผ่านมาแทนที่จะตัดสินใจเลือกผู้นำจากความสามารถและผลงานที่ผ่านมา

               อีกเรื่องคือสินน้ำใจที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ไม่ปฏิเสธที่จะรับเงินจากผู้สมัครและมองว่าการกระทำเช่นนั้นเป็น
               การที่ผู้สมัครให้เกียรติแก่พวกเขา ขณะที่บางรายมองว่าเป็นสิ่งที่ผู้สมัครพึงกระทำเนื่องจากจะได้รับโอกาสในการ

               เข้าไปรับตำแหน่งกินเงินเดือนพฤติกรรมเช่นนี้นับว่าขัดขวางต่อการเลือกตั้งสมานฉันท์และไม่ซื้อสิทธิขายเสียงและ

               ประชาธิปไตยโดยรวม
                       อนึ่ง การปรับวัฒนธรรมนี้จะต้องร่วมมือกันทุกฝ่าย กล่าวคือด้านผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะต้องมองผลประโยชน์

               ในระยะยาวมากกว่าจะเรียกร้องผลประโยชน์ระยะสั้นจากผู้สมัครและควรตระหนักถึงศักดิ์ศรีและบทบาทของผู้มี
               สิทธิเลือกตั้งในฐานะเจ้าของอำนาจอธิปไตยให้มากขึ้นว่าคะแนนที่พวกเขามอบให้ไปนั้นมีความหมาย พวกเขา

               ยังคงเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่พึงติดตามตรวจสอบว่าผู้แทนใช้อำนาจของพวกเขาไปในทิศทางใดเป็นไปตามที่

               สัญญากับประชาชนหรือไม่ แทนการเรียกร้องหาสินน้ำใจและปล่อยให้การทำงานของผู้แทนหลุดไปจากการ
               ตรวจสอบ ขณะที่ ผู้สมัครไม่ควรมองผู้สมัครคนอื่นเป็นคู่แข่งทางการเมืองแต่ควรมองว่าเป็นเพื่อนผู้ร่วมพัฒนาและ

               เป็นผู้ที่มีเจตนารมณ์เพื่อพัฒนาชุมชนเฉกเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงไม่ควรแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อชัยชนะ

               แต่ควรหาเสียงด้วยกันอย่างสร้างสรรค์ให้เกียรติต่อเติมแต่งแต้มนโยบายเพื่อชุมชนร่วมกัน ผู้สมัครพึงมองว่า
               ชัยชนะไม่ใช่ศักดิ์ศรีแต่เป็นการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมไม่แปดเปื้อนต่างหากที่เป็นศักดิ์ศรีที่แท้จริง เป็นการแสดง

               ถึงความไว้วางใจของชาวบ้านอย่างบริสุทธิ์ใจ ส่วนฝ่ายที่แพ้พึงมองว่าเป็นโอกาสที่จะให้ผู้อื่นได้เข้ามาพัฒนาชุมชน
               บ้าง ขณะที่ตนก็ยังสามารถทำงานทางด้านการเมืองต่อไปได้ เพราะการพ่ายแพ้การเลือกตั้งไม่ได้หมายความว่าพวก

               เขาจะหมดโอกาสในการทำงานด้านการเมืองต่อไปได้ตราบเท่าที่ไม่มีการทุจริตเลือกตั้งเกิดขึ้น

                       5. จงระวังหลุมพรางของความสมานฉันท์
                       เมื่อกล่าวถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่คนในชุมชนไม่พึงปรารถนา ทว่าผลการศึกษาชี้ให้เห็น

               ว่าการคลั่งไคล้ความสมานฉันท์มากจนเกินไปอาจนำไปสู่ความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับการเลือกตั้งสมานฉันท์และไม่ซื้อ
               สิทธิขายเสียงได้ ทั้งยังอาจนำไปสู่การยินยอมพร้อมใจที่จะละเลยเรื่องที่ผิดปกติหรือไม่ถูกต้องบางอย่างในชุมชน

               เพียงเพราะไม่ต้องการให้เกิดความบาดหมางผิดใจกันระหว่างคนในชุมชน ในแง่นี้ ความคิดที่แตกต่างกันถือเป็น

               เรื่องปกติของระบอบประชาธิปไตย การมีความเห็นที่แตกต่างไม่ใช่ปัญหาและควรได้รับโอกาสได้รับพื้นที่ในการ
               แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างเหล่านั้น เพื่อมุมมองที่แตกต่างมุมมองใหม่ที่อาจชี้ให้เห็นข้อบกพร่องผิดพลาดและ

               โอกาสในการพัฒนาได้มากยิ่งขึ้น ปัญหาจึงไม่ใช่การเห็นต่างที่ทำให้เกิดความแตกแยกไม่สมานฉันท์ในชุมชน





                                                                                                          142
   151   152   153   154   155   156   157   158   159   160   161