Page 61 - b28783_Fulltext
P. 61

เศรษฐกิจซบเซา แต่กลุ่มชาวบ้านที่พึ่งพาฐานเกษตร มีกลุ่มออมทรัพย์เข้มแข็ง และมีธุรกิจชุมชนร่วมกัน
                  ฐานเศรษฐกิจของพวกเขายังตั้งมั่นได้ดี

                            เทียบกับชุมชนพังงา-ภูเก็ต ซึ่งมีฐานเศรษฐกิจจากประมง ท าสวน การค้า และการท่องเที่ยว
                  เศรษฐกิจชุมชนผูกโยงกับท่องเที่ยวเป็นตัวน า ชาวบ้านที่มีรายได้น้อยของภูเก็ตมีอาชีพรับจ้างทางการ
                  เกษตรและประมงมาแต่เดิม แต่ไม่มีที่ดินหรือเรือเป็นของตนเอง ส่วนมากมักมีอาชีพเสริมเป็นแรงงานภาค
                  บริการและการท่องเที่ยวด้วย ซึ่งมีรายได้ค่อนข้างดี ท าให้มีฐานะทางการเงินดีกว่าประชากรที่มีรายได้น้อย

                  ในจังหวัดอื่นๆของประเทศ กล่าวโดยเฉพาะชุมชนที่พึ่งพาฐานทรัพยากรชายฝั่ง ทะเลคือฐานที่มั่นเศรษฐกิจ
                  พวกเขา บวกกับช่วงรายได้การท่องเที่ยวก็ยังไปได้ดี แม้โดยภาพรวมเศรษฐกิจท่องเที่ยวของภูเก็ตจะตกต่ า
                  ในช่วง 4-5 ปีจากผลกระทบการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและการเมืองในระดับประเทศ
                            กล่าวโดยสรุป เศรษฐกิจของชุมชนแม้จะมีฐานที่หลากหลายต่างกัน ส่วนใหญ่มีฐานการผลิต

                  เกษตรกรรม บางส่วนมีฐานทรัพยากรธรรมชาติให้เข้าถึงอาหารและสร้างรายได้ บางส่วนท าการค้า รับจ้าง
                  และพึ่งเศรษฐกิจนอกเกษตร เช่น การท่องเที่ยว แต่โดยภาพรวมแล้ว เศรษฐกิจชุมชนเผชิญปัญหาความไม่
                  มั่นคงฐานทรัพยากรจากภาวะภัยแล้ง ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ าที่กระทบไปถึงความมั่นคงทางการผลิต เมื่อ
                  ฐานเศรษฐกิจส าคัญที่เคยพึ่งพามีปัญหา เช่น ชุมชนน้ าโขงที่พึ่งทรัพยากรแม่น้ าโขง ชุมชนชายฝั่งภูเก็ตที่

                  พึ่งพานิเวศชายฝั่งได้รับผลกระทบ ชุมชนเผชิญปัญหาเศรษฐกิจฝืดเคือง ภาวะหนี้สิน และการดิ้นรนไป
                  ท างานรับจ้างตามที่ต่าง ๆ เป็นตัวสะท้อนภาวะเศรษฐกิจตกต่ าของชุมชนได้ชัดเจน


                        4.3 ผลกระทบโควิดของชุมชนทางด้านเศรษฐกิจ สังคม
                           4.3.1 ทัศนะของชุมชนต่อโควิด และการรับมือสู้โรค

                            ในช่วงโควิดเริ่มระบาด รัฐและสื่อมวลชนโหมประโคมการแพร่ระบาด ท าให้สังคมเกิดความ
                  ตระหนกอย่างมาก ชุมชนทั้ง 6 แห่ง ก็เป็นภาพสะท้อนที่ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารวิกฤติโควิดจาก
                  ภาครัฐผ่านสื่อกระแสหลัก ท าให้ชุมชนเกิดความกลัว
                            ส าหรับชุมชนแล้ว โควิดเป็นโรคอุบัติที่รุนแรงอย่างไม่เคยเจอมาก่อน ท าให้ชาวบ้านตื่นกลัวกัน

                  มาก กลไกทางสังคมของชุมชนท างานอย่างเข้มข้น ทั้งมาตรการตรวจตรา การสื่อสารให้คนที่จะเข้ามา
                  ชุมชนต้องกักตัว หรือกระทั่งคนที่ร่วมกิจกรรมกับคนเสี่ยง ก็ต้องถูกชุมชนกดดันให้กักตัว โควิดในทัศนะ
                  ชุมชนต่าง ๆ จึงเป็นโรคอุบัติใหม่ที่ร้ายแรง รัฐไม่สามารถปกป้องคุ้มครองชีวิตพวกเขาได้ ชุมชนจึงต้องลุก
                  ขึ้นมาด าเนินการเอง

                           ตัวอย่างที่จังหวัดน่าน ชุมชนใช้ อสม. คัดกรองคนที่เข้าพื้นที่/นักเรียนและแรงงานที่กลับบ้าน
                  กักกันโรคอย่างเคร่งครัดเท่าที่ท าได้ โดยใช้อสม.วัดไข้ รายงานไปหมู่บ้าน และประสานงานกับจังหวัด
                  ตามล าดับ กักตัว 14 วัน และคัดประชาชนให้แยกห่างกัน แต่มีจุดอ่อนคือเมื่อชาวบ้านพอเห็นว่าไม่มีการติด
                  โรคจริงนาน ๆ ไป “การ์ดก็ตก” ชุมชนจึงต้องการให้มีตัวบทกฎหมายควบคุมที่ชัดเจนและเจ้าหน้าที่มาช่วย

                  ควบคุม และขอหน้ากากอนามัยเพิ่ม เจลแอลกอฮอล์เพิ่ม
                              เช่นเดียวกับชุมชนที่มหาสารคาม ชาวบ้านใช้มาตรการการกักตัวได้ผลมาก เพราะมี
                  อาสาสมัครถึง 9 คน ดูแลคนละสิบครัวเรือน ถ้ามาจากที่เสี่ยงจะประกาศให้มารายงานตัว และต้องอยู่แต่
                  บ้านออกไม่ได้ ต้องท ากับข้าวกินกันเองภายในบ้าน การจัดการป้องกันโรคของชุมชนไม่ต้องใช้งบประมาณ

                  ในการกักตัวมากนัก เพราะเป็นชุมชนเล็ก เน้นการดูแลช่วยเหลือกัน และปฏิบัติตามค าแนะน าของ
                  อาสาสมัครอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังก าหนดไม่ให้ลูกหลานที่ท างานหรือเรียนอยู่ในเมืองกลับบ้านเพราะ
                  กลัวการกระจายของโรค แต่จะส่งความช่วยเหลือไปให้


                                                                                                       46
   56   57   58   59   60   61   62   63   64   65   66