Page 73 - 22385_Fulltext
P. 73

การศึกษาการบังคับใช้                                                                การศึกษาการบังคับใช้
                     พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย      พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย



                  อยู่มาก บทบัญญัติใน พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ หลายส่วนยังคลุมเครือและ                       ให้เกิดปัญหาการใช้การตีความด้วยว่าบุคคลเพศใดบ้างที่กฎหมายฉบับนี้
                  ไม่สอดคล้องกับหลักสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า “การเลือกปฏิบัติโดย                      ให้ความคุ้มครอง การบัญญัตินิยามโดยเลือกใช้ข้อความว่า “มีการแสดงออก

                  ไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ” และให้นิยามไว้ในมาตรา 3 ว่าหมายถึง                              ที่แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด” แสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจลักษณะ
                  “การกระทำหรือไม่กระทำการใดอันเป็นการแบ่งแยก กีดกัน หรือจำกัด                           ความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริง และอาจทำให้ความคุ้มครอง

                  สิทธิประโยชน์ใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยปราศจากความชอบธรรม                        ครอบคลุมไปไม่ถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายบางลักษณะ เช่น กลุ่มชายรักชาย
                  เพราะเหตุที่บุคคลนั้นเป็นเพศชาย หรือเพศหญิง หรือมีการแสดงออกที่                        หรือหญิงรักหญิง ที่ยังคงแสดงออกเหมือนเพศกำเนิดเพียงแต่มีรสนิยม
                  แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด” ผู้ให้สัมภาษณ์ทั้งที่เป็นนักวิชาการ                            ทางเพศหรือวิถีทางเพศชอบคนเพศเดียวกันเท่านั้น ซึ่งทั้งวิถีทางเพศ
                  ด้านกฎหมาย ด้านสิทธิมนุษยชน รวมทั้งคนทำงานภาคประชาสังคม                                (Sexual Orientation – SOGI) และอัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity)

                  ล้วนตั้งข้อสังเกตถึงถ้อยคำและแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังคำ ๆ นี้ซึ่งถือเป็น                ล้วนได้รับความคุ้มครอง และต้องไม่เป็นสาเหตุแห่งการถูกเลือกปฏิบัติ
                  หัวใจสำคัญของกฎหมาย ซึ่งนอกจากอาจทำให้สังคมสับสนแล้ว ยังแสดง                           ตามหลักการยอกยาการ์ตา

                  ให้เห็นว่าผู้ถืออำนาจรัฐและเกี่ยวข้องกับการผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้                               ผู้ให้สัมภาษณ์ทุกคนยังเห็นพ้องกันว่า การมีอยู่ของข้อยกเว้น
                  ยังขาดความเข้าใจในข้อความคิด (concept) ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติ                          ที่ไม่ทำให้การเลือกปฏิบัติเป็นเรื่องไม่ชอบธรรมตามมาตรา 17 วรรคสอง
                  ผู้ออกกฎหมาย ยังเข้าใจว่า “การเลือกปฏิบัติ” อาจทำได้ ไม่ต้องห้าม และ                   ที่ว่า “การปฏิบัติตามหลักการทางศาสนา หรือเพื่อความมั่นคงของ
                  ไม่ผิดกฎหมายถ้าเป็นการเลือกปฏิบัติที่ “เป็นธรรม” ทั้ง ๆ ที่ตาม                         ประเทศ ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ” คือ

                  หลักสากลแล้วไม่มีการเลือกปฏิบัติใดที่เป็นธรรม “การเลือกปฏิบัติ”                        หัวใจสำคัญที่ทำให้กฎหมายฉบับนี้ขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริง
                  ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดควรถูกต้องห้าม ในขณะที่การปฏิบัติที่แตกต่างต่อบุคคล                  เพราะข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ก็คือข้ออ้างเรื่องหลักศาสนาก็ดี เรื่อง
                  โดยมีเหตุผลที่อธิบายได้จะไม่ถูกเรียกว่า “การเลือกปฏิบัติ” แล้วตั้งแต่ต้น               ความมั่นคงของประเทศก็ดีมักเป็นต้นตอหรือบ่อเกิดของการเลือกปฏิบัติ

                  ตามบทบัญญัติข้อ 1 “การเลือกปฏิบัติต่อสตรี” แห่งอนุสัญญา CEDAW เอง                      จำนวนมาก ดังนั้น การหยิบยกสองเรื่องนี้ขึ้นเป็นข้อยกเว้นของกฎหมาย
                                                        41
                  ก็หาได้ใช้คำว่าการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมไม่  บทนิยามดังกล่าวยังก่อ
                                                                                                         นอกจากจะขัดกับหลักสากลแล้ว ยังแทบทำให้กฎหมายฉบับนี้ไร้ความหมาย
                                                                                                         กระทั่งกลายเป็นกฎหมายสร้างความชอบธรรมให้กับการเลือกปฏิบัติ
                         41   ข้อ 1 อนุสัญญา CEDAW อธิบายคำว่า “การเลือกปฏิบัติต่อสตรี” หมายถึง
                  “การแบ่งแยก การกีดกัน หรือการจำกัดใด ๆ เพราะเหตุแห่งเพศ ซึ่งมีผลหรือ                   จำนวนมากเสียเอง กรณีนี้ยังควรต้องพิจารณาด้วยว่าความเชื่อ การนับถือ
                  ความมุ่งประสงค์ที่จะทำลายหรือทำให้เสื่อมเสียการยอมรับ การได้อุปโภค หรือใช้สิทธิ        ศาสนา รวมทั้งความพร้อมและเงื่อนไขของชีวิตในการปฏิบัติตามหลัก
                  โดยสตรี โดยไม่คำนึงถึงสถานภาพด้านการสมรส บนพื้นฐานของความเสมอภาคของ                    ศาสนาของแต่ละคนนั้นย่อมมีความแตกต่างกัน ซึ่งถือเป็นสิทธิเสรีภาพ
                  บุรุษและสตรีของสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพขั้นพื้นฐานในด้านการเมือง เศรษฐกิจ               ที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกระทั่งรัฐจะไปบังคับให้เขาปฏิบัติตามความเชื่อ
                  สังคม วัฒนธรรมของพลเมือง หรือด้านอื่น ๆ”



             58    สถาบันพระปกเกล้า                                                                                                                  สถาบันพระปกเกล้า   59
   68   69   70   71   72   73   74   75   76   77   78