Page 140 - 22385_Fulltext
P. 140
การศึกษาการบังคับใช้ การศึกษาการบังคับใช้
พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
เมื่อถึงเวลาที่ต้องนำบทนิยามนี้มาปรับใช้กับการกระทำที่ถูกร้องเรียน ตาม พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ เป็นต้น
เข้ามายังคณะกรรมการมักเกิดปัญหาอย่างมาก เนื่องจากความรู้ความเชี่ยวชาญ ต่อประเด็นนี้ ผู้ศึกษามีความเห็นเพิ่มเติมว่า ด้วยเหตุที่ พ.ร.บ.
มุมมอง และประสบการณ์ของคณะกรรมการ วลพ. แต่ละคนแตกต่างกัน ความเท่าเทียมฯ เป็นกฎหมายมุ่งคุ้มครองไม่ใช่ปราบปราม ทั้งยังเป็น
ส่งผลให้การใช้การตีความแคบกว้างต่างกันด้วย ประกอบกับการห้ามเลือก “กฎหมายทางเลือก” คือ ให้สิทธิแก่บุคคลเท่านั้น มิได้กำหนดบทลงโทษ
ปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศเป็นประเด็นค่อนข้างใหม่สำหรับสังคมไทย สำหรับการเลือกปฏิบัติระหว่างเพศไว้โดยตรง หากผู้ถูกกระทำคิดว่าตนไม่ได้
ยังขาดแคลนผู้เชี่ยวชาญ ในขณะที่กรณีศึกษายังมีไม่มากหากเทียบกับ ถูกละเมิด หรือถูกละเมิดแต่ไม่เดือดร้อน และไม่ได้นำเรื่องเข้าสู่กระบวนการ
ประเทศอื่น สุดท้ายแล้ว กฎหมายฉบับนี้มุ่งหมายถึงการกระทำแบบใดบ้าง ตามกฎหมายฉบับนี้ ก็ย่อมไม่มีบุคคลหรือองค์กรใดต้องถูกบังคับให้
จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องใช้เวลาถกเถียงกันมากจนทำให้การพิจารณาและ ดำเนินการ กระทั่งถูกลงโทษ ดังนั้น การคงนิยามในเรื่องนี้ไว้กว้าง ๆ ไม่ระบุ
วินิจฉัยคำร้องล่าช้า
เจาะจงให้แน่ชัดว่ากรณีใดบ้างที่เข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ
อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่าโดยหลักการแล้วเป็นไปได้หรือไม่ที่จะ ปล่อยให้เป็นเรื่องของการใช้ดุลพินิจ และการใช้การตีความโดยผู้เชี่ยวชาญ
กำหนดพฤติการณ์ของการเลือกปฏิบัติไว้ให้ชัดเจนกว่านี้ ผู้ให้สัมภาษณ์ (ซึ่งเป็นปัญหาในทางการบังคับใช้ ที่รัฐต้องควานหาหรือต้องสร้างผู้เชี่ยวชาญ
ซึ่งหมายรวมถึงคนทำงานในภาคประชาสังคมต่างเห็นว่ายังเป็นเรื่อง ในเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้อย่างแท้จริงต่อไป) จึงนอกจากมิได้ขัดหรือแย้งกับ
ค่อนข้างยาก เพราะในความเป็นจริงแล้วการเลือกปฏิบัติจำนวนมากมีมิติ หลักการทางนิติบัญญัติแล้ว ยังน่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนผู้ตกเป็น
ที่ซับซ้อน ไม่ตรงไปตรงมา ทั้งประเด็นทางเพศอาจถูกซ่อนไว้ภายใต้เหตุผล เหยื่อของการถูกเลือกปฏิบัติมากกว่า อนึ่ง นักวิชาการผู้ให้สัมภาษณ์บางส่วน
อย่างอื่น ไม่ชัดเจนโจ่งแจ้งเหมือนอย่างกรณีห้ามคนข้ามเพศหรือกระเทย เสนอแนะเพิ่มเติมว่า แม้เป็นเรื่องค่อนข้างยากในการกำหนดนิยามให้เจาะจง
รับบริการสาธารณะหรือประกอบอาชีพบางอย่าง หรือการกำหนดค่าจ้าง ลงไปว่ากรณีใดเข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติ อีกทั้งที่ผ่านมาคณะกรรมการ วลพ.
ให้ผู้หญิงต่ำกว่าผู้ชายจากการทำงานแบบเดียวกัน ดังนั้น การแก้ปัญหานี้ ยังมีความเข้าใจและตีความแตกต่างกัน จนบางครั้งส่งผลให้การเลือก
จึงไม่อาจทำได้ด้วยการแก้ไขตัวบทบัญญัติ แต่ต้องอาศัยการตีความเป็นหลัก ปฏิบัติทางอ้อมบางกรณีถูกปฏิเสธไม่รับไว้พิจารณา กรมกิจการสตรีฯ และ
โดยผู้เชี่ยวชาญหรือคนที่เข้าใจและมีมุมมองเรื่องความเสมอภาคระหว่าง กองงานที่เกี่ยวข้อง โดยความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญและองค์กรภาคประสังคม
ชายหญิง และความหลากหลายทางเพศเป็นสำคัญ ตัวอย่างรูปธรรมในเรื่องนี้ อาจช่วยบรรเทาปัญหานี้แทนการแก้ไขบทนิยามได้ ด้วยการรวบรวมและสรุป
เช่น เกิดกรณีกรมป่าไม้ไม่รับผู้หญิงทำงานในในบางตำแหน่งที่อาจต้องปฏิบัติ ตัวอย่างกรณีศึกษาต่าง ๆ ทั้งที่คณะกรรมการ วลพ. เคยตัดสินไว้แล้วว่า
หน้าที่ในป่า ด้วยเหตุผลว่าเป็นงานที่สุ่มเสี่ยงเกิดอันตรายกับผู้หญิงมากกว่า เป็นการเลือกปฏิบัติจริง และกรณีศึกษาในต่างประเทศที่เป็นที่ยอมรับ
ผู้ชาย หรือการเลือกใช้คำตำหนิติเตียนการทำงานต่อพนักงานผู้ชาย หรือ จัดจำแนกแยกแยะให้ชัดเจนว่าอยู่ในกลุ่มการเลือกปฏิบัติโดยตรงหรือ
ต่อพนักงานที่อยู่ในกลุ่มความหลากหลายทางเพศ รุนแรงกว่าคำที่ใช้กับ โดยอ้อม แล้วทำเป็นคู่มือเพื่อใช้อ้างอิง หรือเพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณา
พนักงานผู้หญิง จะถือได้หรือไม่ว่าเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ วินิจฉัยโดยคณะกรรมการ วลพ. ชุดต่อ ๆ ไป (ทำนองเดียวกับคู่มือว่าด้วย
124 สถาบันพระปกเกล้า สถาบันพระปกเกล้า 125