Page 138 - 22385_Fulltext
P. 138

การศึกษาการบังคับใช้                     การศึกษาการบังคับใช้
 พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย   พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย



 ฉบับนี้ไม่แตกต่างจากภาคประชาสังคมนัก แม้บางฝ่ายจะเริ่มขยับและคิดค้น  ในทางนิติบัญญัติ หากพิจารณาใช้คำที่ถูกต้องสอดคล้องกับหลักสากล
 ทำงานเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นบ้างแล้ว แต่ก็ไม่น่าจะสำเร็จ  นอกจากทำให้ประชาชนมีทัศนคติ และความเข้าใจต่อเรื่องนี้อย่างถูกต้องแล้ว
 ลุล่วงได้ในระยะเวลาอันใกล้ ตราบใดที่บุคคลหรือหน่วยงานระดับสูงของ  ยังทำให้การอธิบายเนื้อหาที่อยู่ในกฎหมายและข้อความคิดต่าง ๆ ที่อยู่
 ประเทศยังไม่ให้ความสำคัญต่อประเด็นนี้อย่างเพียงพอ กระทั่งไม่นำพาต่อ  เบื้องหลังง่ายและรวดเร็วขึ้นด้วย ซึ่งย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพและ

 การสร้างความเปลี่ยนแปลงใด ๆ         ประสิทธิผลในการบังคับใช้กฎหมายต่อไป ทั้งนี้ ผู้ศึกษาเห็นว่า หากกฎหมาย
                   ฉบับนี้ยังคงมีเป้าหมายเพื่อยุติหรือลดการเลือกปฏิบัติเฉพาะที่เกิดขึ้นจากเหตุ
   5.1  บทนิยามในมาตรา 3 “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม   แห่งเพศ ควรใช้คำว่า “การเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ” หรือข้อความอื่นใด
 ระหว่างเพศ”
                   ทำนองเดียวกันแทนคำว่า “การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ”
   ซึ่งกฎหมายบัญญัติว่าหมายถึง “การกระทำหรือไม่กระทำการใด
 อันเป็นการแบ่งแยก กีดกัน หรือจำกัดสิทธิประโยชน์ใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือ    5.1.2 เพื่อสะท้อนให้เห็นว่ารัฐมีความจริงใจ ทั้งมีความเข้าใจ
 ทางอ้อม โดยปราศจากความชอบธรรม เพราะเหตุที่บุคคลนั้นเป็นเพศชาย   ลักษณะแห่งความหลากหลายทางเพศ เพื่อทำให้กฎหมายฉบับนี้คุ้มครอง

 หรือเพศหญิง หรือมีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด” ควรได้รับ  ครอบคลุมบุคคลทุกเพศวัยอย่างแท้จริงสมตามเจตนารมณ์ โดยไม่ต้องขึ้นอยู่กับ
 การพิจารณาทบทวนเพื่อแก้ไข ตั้งแต่    ดุลพินิจหรือการใช้การตีความของคณะกรรมการหรือพนักงานเจ้าหน้าที่
                   ควรพิจารณาปรับเปลี่ยนข้อความในคำนิยามที่ว่า “มีการแสดงออกที่แตกต่าง

   5.1.1  ควรเลือกใช้ “ถ้อยคำ” อันเป็นหัวใจสำคัญ (Keyword)   จากเพศโดยกำเนิด” เป็นข้อความอื่นใดที่หมายรวมถึงบุคคลที่แม้จะมี
 ของกฎหมายฉบับนี้ ให้สอดคล้องกับหลักสากล ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อความคิด   การแสดงออกไม่แตกต่างจากเพศกำเนิด แต่มีวิถีทางเพศหรืออัตลักษณ์
 (concept) ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติ และไม่สร้างความสับสนแก่ทั้งพนักงาน  ทางเพศแตกต่างจากเพศกำเนิด อย่างกลุ่มชายรักชาย หรือหญิงรักหญิงที่ยัง

 เจ้าหน้าที่และประชาชนทั่วไปว่าการเลือกปฏิบัติอาจทำได้ ไม่ต้องห้าม หรือ  คงแสดงออกเหมือนเพศกำเนิดด้วย ซึ่งทั้งวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ
 ไม่ผิดกฎหมายถ้าเป็น “การเลือกปฏิบัติที่เป็นธรรม” เพราะตามหลักสากล  ล้วนได้รับความคุ้มครอง และต้องไม่เป็นสาเหตุแห่งการถูกเลือกปฏิบัติตาม
 แล้วย่อมไม่มีการเลือกปฏิบัติใดที่เป็นธรรม “การเลือกปฏิบัติ” ไม่ว่า    หลักการยอร์กยาการ์ตา (The Yogyakarta Principle)
 ด้วยเหตุผลใดควรถูกต้องห้าม ในขณะที่การปฏิบัติที่แตกต่างต่อบุคคล

 โดยมีเหตุผลที่อธิบายและรับรองได้ก็จะไม่ถูกเรียกว่า “การเลือกปฏิบัติ”       5.1.3 ควรตั้งเป็นประเด็นข้อสังเกตเอาไว้ด้วยว่า ด้วยเหตุที่
 ตั้งแต่ต้น มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญ หรือมองข้ามประเด็นนี้  บทนิยามของคำว่าการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศในกฎหมาย

 เพราะเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่อันที่จริงแล้ว “ถ้อยคำอันเป็นหัวใจสำคัญ”   ฉบับนี้ มีความหมายค่อนข้างกว้าง ไม่ชัดเจนว่าพฤติกรรมเช่นใดบ้างที่ถือได้ว่า
 ของกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่ง ซึ่งจะกลายเป็น “ภาพจำ” และติดอยู่ใน    เข้าข่ายเป็นการเลือกปฏิบัติดังกล่าว ซึ่งส่งผลต่อการบังคับใช้อยู่เนือง ๆ
 ความรับรู้ของผู้คนมากกว่า “เนื้อหา” ในกฎหมาย นับเป็นเรื่องสำคัญมาก    ผู้ให้สัมภาษณ์ในกลุ่มคณะกรรมการ วลพ.เองทั้งอดีตและปัจจุบัน รวมทั้ง
                   นักวิชาการด้านกฎหมายต่างให้ข้อเท็จจริงและความเห็นสอดคล้องกันว่า

 122  สถาบันพระปกเกล้า                                            สถาบันพระปกเกล้า   123
   133   134   135   136   137   138   139   140   141   142   143