Page 9 - 22353_Fulltext
P. 9

นอกจากนั้น ปัญหาประการหนึ่งที่ทำให้การเลือกตั้งยังคงมีการซื้อสิทธิขายเสียงเกิดขึ้นและนำมาสู่

               ความขัดแย้งก็คือที่ผ่านมาในกระบวนการก่อนการเลือกตั้งนั้นมักเป็นไปในรูปแบบของการหาเสียงของผู้สมัคร

               เป็นหลัก และโดยที่การหาเสียงก็มักจะเป็นไปในรูปแบบของการโต้วาที (debate) หรือการดีเบตระหว่าง

               ผู้สมัคร ซึ่งการดีเบตนั้นแม้ว่าโดยเป้าหมายจะปรารถนาดีเพื่อให้ผู้สมัครได้แสดงความเห็นกับผู้มีสิทธิได้
               มากกว่าการเดินหาเสียงที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีโอกาสพบผู้สมัครเพียงไม่กี่นาที กระนั้น ด้วยวิธีการดีเบตก็ไม่อาจ

               ประสานประโยชน์ได้ และสุดท้ายมักนำมาสู่ความขัดแย้งได้ ยกตัวอย่างการหาเสียงด้วยการดีเบตของผู้สมัคร

               ประธานาธิบดีในประเทศสหรัฐอเมริกาครั้งล่าสุดในการเลือกตั้งปี 2563 ที่สุดท้ายแม้จะได้มาซึ่งประธานาธิบดี

               ที่มีนโยบายโดนใจผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างผู้สมัครต่างพรรคการเมืองกลับมีความขัดแย้ง

               เกิดขึ้นกระทั่งนำไปสู่สภาวการณ์รุนแรงจากฝ่ายสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump)
               ที่บุกไปทำลายอาคารรัฐสภา (BBC News 2000)


                       ที่ผ่านมาเมื่อถึงฤดูกาลเลือกตั้งภาคประชาชนมักจะไม่ได้รับการส่งเสริมให้มีบทบาทมากนัก บทบาท

               ของภาคประชาชนที่ผ่านมาคือรับฟังเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงจึงตามมา ทั้งนี้เพราะ

               เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่ค่อยได้เจอกันและโอกาสในการนำเสนอนโยบายอย่างจริงจังแบบที่มีการซักถามหรือเพิ่มเติม

               ความต้องการระหว่างผู้สมัครและผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีน้อย การเลือกผู้แทนจึงกลายเป็นการพิจารณาจากประเด็น

               ความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นญาติ เป็นเพื่อน บุญคุณ หรือแม้แต่สินน้ำใจต่างๆ และเมื่อปัจจัย
               เหล่านี้เข้ามามีบทบาทมากกว่าความรู้ความสามารถและนโยบายที่จะมีต่อชุมชนแล้ว การแข่งขันกันหาเสียง

               ระหว่างผู้สมัครจึงรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องมีค่าใช้จ่ายเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสร้างพลัง

               ต่อรองในการตัดสินใจ ทั้งนี้เพราะแม้ไม่อาจรับรองได้ว่าการให้ทรัพย์สินเงินทองจะส่งผลต่อชัยชนะ แต่ว่าเรื่อง

               นี้ได้กลายเป็นวัฒนธรรมที่ผู้สมัครจะ “ต้องให้” ไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพื่อเป็น “สินน้ำใจ” ต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

               ซึ่งการได้มาซึ่งตำแหน่งที่มีลักษณะของการแลกเปลี่ยนเช่นนี้ ส่งผลต่อความรู้สึกไม่ผูกพันระหว่างผู้สมัครและผู้

               มีสิทธิเลือกตั้ง เพราะไม่ได้เข้ามาด้วยนโยบายที่ทุกฝ่ายต่างเห็นร่วมกันว่าจะช่วยกันขับเคลื่อนตั้งแต่แรก จึง
               ส่งผลกระทบโดยตรงกับความรู้สึก “รับผิดชอบร่วมกัน” ระหว่างผู้สมัครและผู้มีสิทธิเลือกตั้ง

               อันจะนำไปสู่การติดตามการทำงานระหว่างกันภายหลังการเลือกตั้ง และกระทบกับการแสดงออกซึ่งสิทธิ

               พลเมืองในการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระบอบประชิปไตยและการพัฒนาประชาธิปไตยในภาพรวม


                       นอกจากนั้น ผลการศึกษาหลายชิ้นก็ชี้ให้เห็นในทิศทางเดียวกันว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการซื้อสิทธิ

               ขายเสียงกับความรู้ความสามารถของผู้แทน คุณภาพชีวิตของคนในชุมชน และความเข้มแข็งของชุมชน อาทิ
               งานวิจัยของอารียา ศรีคําภา (2548) เรื่องอุปสรรคในการแก้ปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงของคณะกรรมการการ

               เลือกตั้งจังหวัดเชียงใหม่ และงานของ Floyd Hunter (1953) ชี้ให้เห็นในประเด็นเดียวกันถึงอิทธิพลของการ

               ใช้เงินว่าจะส่งผลให้นักธุรกิจหรือผู้นำทางเศรษฐกิจสามารถควบคุมผู้ปกครองซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐในชุมชน

               ได้ส่งผลให้เกิดการผูกขาดการตัดสินใจเชิงนโยบาย โดยที่ศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่ภาคเอกชนไม่ใช่ภาครัฐ เป็นต้น



                                                                                                         8
   4   5   6   7   8   9   10   11   12   13   14