Page 73 - 22353_Fulltext
P. 73
การสัมภาษณ์ชี้ให้เห็นว่ามีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับเรื่องการใช้จ่ายเงินของผู้สมัคร ผู้มีสิทธิเลือกตั้งระบุว่า
การหาเสียงเลือกตั้งในครั้งนี้แตกต่างจากการเลือกตั้งในปี 2555 เนื่องจากการซื้อสิทธิขายเสียงลดลงไปอย่าง
มาก แม้จะไม่หมดไปในทันที โดยร้อยละ 71 ของผู้ให้สัมภาษณ์ประเมินความสำเร็จของโครงการฯในการ
ส่งเสริมการไม่ซื้อสิทธิขายเสียงในระดับปานกลาง ผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนหนึ่งกล่าวว่า “ดีขึ้นเยอะเลย หลังจากมี
โครงการ แต่ว่าความสำเร็จมันก็ยังอยู่ในระดับแค่ปานกลางนะผมว่า แต่อย่างน้อยผมว่าก็ดีกว่าที่ไม่ทำอะไร
เลย”
ด้านหัวคะแนนคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับผู้วิจัยว่า โครงการนี้ทำให้ผู้สมัครได้ยั้งคิดอย่างมากทำให้การ
ตัดสินใจใช้เงินเป็นไปอย่างล่าช้า มีผู้สมัครตัดสินใจว่าจะไม่ใช้เงินเช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วก็ยังคงต้องพ่ายแพ้
ให้แก่อำนาจเงิน เพราะพอผู้สมัครเริ่มผิดกติกาความกลัวแพ้ก็ทำให้ต้องไปกู้เงินมาเพื่อใช้จ่ายเหมือนกัน “อันที่
จริงเขาก็ว่าจะไม่ใช้ๆกันนั่นล่ะ แต่พอไม่มีมา คนอื่นเขาไปแล้ว สุดท้ายก็ไม่ทันเขา ได้ข่าวว่าต้องไปกู้ออก
มาแล้ว” หัวคะแนนคนนั้นกล่าว
จากบทสัมภาษณ์ข้างต้นแสดงให้เห็นได้ว่าเรื่องของการซื้อสิทธิขายเสียงนั้นเป็นปัญหาที่อาจจะไม่
สามารถแก้ไขได้ในระยะเวลาอันสั้น ทว่าการจัดเวทีเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเรื่องการเลือกตั้งไม่ซื้อสิทธิขาย
เสียงกระทั่งนำมาสู่การทำข้อตกลงร่วมกันนั้นก็ดูจะเป็นสัญญาใจที่เหนี่ยวรั้งความต้องการเอาชนะและการ
แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตายลงไปได้บ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะแก้ไขปัญหาการซื้อเสียงให้หมดลงไป
ในทันที ซึ่งเรื่องนี้สอดคล้องกับข้อมูลของคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ระบุว่ายังคงมีการฟ้องร้องคดีความเรื่อง
การหาเสียงและการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรมอยู่เช่นเดิม โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งระบุ
ว่าจำนวนการฟ้องร้องในส่วนของการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมินั้นยังไม่ได้ลดลงไปจาก
เดิม ทว่าจำนวนคดีความที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมนั้นส่วนหนึ่งแม้จะไม่ได้ชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์การไม่ซื้อสิทธิ
ขายเสียงที่ดีขึ้นในทันทีแต่ว่าก็เป็นส่วนหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ดังกล่าวยังไม่ได้แย่ลงและอาจ
เปลี่ยนแปลงได้แม้ว่าในการเปลี่ยนแปลงการซื้อสิทธิขายเสียงที่มีการปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานนั้นจะไม่ใช่
เรื่องง่ายแต่ในทางกลับกันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเปลี่ยนไม่ได้เช่นเดียวกัน
ความสมานฉันท์ภายหลังการเลือกตั้ง
สำหรับประเด็นเรื่องความสมานฉันท์นี้ ผู้วิจัยเลือกใช้แนวทางการสัมภาษณ์ประกอบกับการสำรวจ
ท่าทีของผู้สมัครที่มีต่อผลการเลือกตั้งซึ่งสื่อสารออกมาผ่านเพจเฟสบุ๊คอย่างเป็นทางการของพวกเขาประกอบ
กัน โดยผลการสัมภาษณ์ผู้มีสิทธิเลือกตั้งชี้ให้เห็นว่าการหาเสียงในครั้งนี้แตกต่างจากการหาเสียงในครั้งก่อน
(ปี 2555) เนื่องจากไม่มีการปราศรัยในลักษณะโจมตีผู้สมัครฝ่ายตรงข้าม การหาเสียงเน้นไปที่ตัวผู้สมัคร
ผลงานที่ผ่านมาของผู้สมัคร และนโยบายของผู้สมัครเป็นหลัก ส่งผลให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งเชื่อว่าโครงการนี้
สามารถส่งเสริมความสมานฉันท์ในชุมชนได้ถึงร้อยละ 97“อันนี้ผมว่าดีมากๆเลย เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่เขาก็พูดกัน
72