Page 61 - kpi22237
P. 61

55


                             “1. มีความขัดแย้งทางความคิดการเมืองอย่างรุนแรงจนถึงระดับครอบครัวคนไทย

                           2. การใช้อ านาจการปกครองแบบเดิมไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและ
                           การกระท าผิด 3. แนวทางการเลือกตั้งในรูปแบบเดิมมีการต่อต้านอย่างกว้างขวาง
                           ถ้าปล่อยไว้อาจเกิดปัญหาวุ่นวายไม่รู้จบ 4. การชุมนุมทางการเมืองส่งผลกระทบ

                           ต่อการใช้ชีวิตของประชาชนทุกหมู่เหล่า ท าให้ประชาชนแตกความสามัคคี 5. ปัญหา
                           ทุจริต 6. การบังคับใช้กฎหมายต่อปัญหาข้างต้น บังคับใช้ไม่ได้ทุกกลุ่ม ท าให้เกิด

                           ความหวาดระแวง เกลียดชังกันในหมู่ประชาชนเป็นวงกว้าง มีการยุยงปลุกปั่นให้ใช้
                           ความรุนแรง 7. การบริหารราชการแผ่นดินไม่สามารถกระท าได้อย่างเด็ดขาด

                           ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของชาติ และความทุกข์ของประชาชน 8. ความผิดต่อ
                           องค์พระมหากษัตริย์ไทย 9. การปลุกระดมมวลชนโดยไม่ค านึงถึงผลประโยชน์ของ

                           คนส่วนใหญ่ 10. มีการจัดตั้งและใช้กองก าลังติดอาวุธ” (ผู้จัดการออนไลน์, 2557)
                           (เน้นโดยผู้เขียน)

                       ในช่วงเวลาหลังรัฐประหารจึงมีการถกเถียงว่าจะต้องมีการปฏิรูปการเมืองอย่างไรบ้างที่จะน าไปสู่การสร้าง

               การมีส่วนร่วมในพรรคการเมืองก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งผ่านร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับของศาสตราจารย์กิตติคุณ
               ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ จนมาถึงร่างที่สามารถผ่านและน ามาใช้จริงได้อย่างร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ฤชุพันธุ์

               ที่ผ่านการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญไทยในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ที่ประชาชนเห็นชอบ
               ในรัฐธรรมนูญดังกล่าวจ านวน 16,820,402 เสียง คิดเป็นร้อยละ 61.35 ในขณะที่ไม่เห็นชอบจ านวน 10,598,037

               เสียง หรือคิดเป็นร้อยละ 38.65 ภายใต้เหตุผลที่หลากหลาย ตั้งแต่ความชื่นชอบรัฐธรรมนูญที่มีมาตราปราบ
               คอร์รัปชันที่เข้มข้น จนไปถึงกลุ่มที่รับไปก่อนเพื่อรอแก้ไขใหม่ในอนาคต

                       เมื่อรัฐธรรมนูญประกาศในราชกิจจานุเบกษา 6 เมษายน พ.ศ. 2560 มีผลทางกฎหมายอย่างเป็นทางการ

               จึงน ามาสู่กระบวนการร่างกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ (Organic Law) ซึ่งหนึ่งในกฎหมายดังกล่าวคือ
               “ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ....” ที่พยายามออกแบบสถาบันการเมือง

               อย่างพรรคการเมืองให้มีความเข้มข้นในเรื่องของการจัดตั้งพรรคการเมือง การบริหารพรรคการเมือง การมีสาขา
               พรรค การส่งผู้สมัครเข้าแข่งขันเลือกตั้ง และการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนในการสรรหาผู้สมัคร

               รับเลือกตั้งด้วยการเลือกตั้งขั้นต้น (primary vote) โดยหลักการและเหตุผลของร่างกฎหมายดังกล่าวได้เน้นย้ ากว่า
               “...อย่างน้อยต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการบริหารพรรคการเมืองที่ต้องก าหนดให้เป็นไปโดยเปิดเผยและตรวจสอบ
               ได้ เปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการก าหนดนโยบายและส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง

               และก าหนดมาตรการให้สามารถด าเนินการโดยอิสระ ไม่ถูกครอบง าหรือชี้น าโดยบุคคลซึ่งมิได้เป็นสมาชิก
               ของพรรคการเมือง...” (ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ฉบับเผยแพร่ต่อ

               ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและประชาชนส าหรับรับฟังความเห็นวันที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2559)
   56   57   58   59   60   61   62   63   64   65   66