Page 114 - kpi22237
P. 114
108
อุปสรรคส าคัญที่ยังไม่สามารถน ากระบวนการเลือกตั้งขั้นต้นมาใช้ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
24 มีนาคม 2562 อาจประมวลได้ 6 ข้อ ได้แก่
1.) ปัญหาในการตีความกฎหมายและการน ากฎหมายไปปฏิบัติของพรรคการเมือง ที่ขาดความชัดเจน
ในแนวปฏิบัติ ส่งผลให้เกิดความกังวลเมื่อโดนตรวจสอบโดยองค์กรอิสระ
2.) ปัญหาการวางนโยบายระหว่างพรรคกับผู้สมัครรับเลือกตั้ง
3.) ปัญหาโครงสร้างอ านาจในพรรคการเมืองในการเป็นบุคคลที่พรรคด าเนินการสรรหา
4.) ปัญหาการกระจายอ านาจในการส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งและผู้แทนพรรคการเมือง ที่กฎหมายท าให้ยังไม่มี
พรรคการเมืองใดเลยที่สามารถส่งผู้สมัครรับเลือกได้ครบทั้ง 350 เขต
5.) ปัญหาค่าใช้จ่ายของพรรคการเมืองในการด าเนินการคัดสรรผู้สมัครลงเลือกตั้งของพรรคการเมือง
ด้วยการเลือกตั้งขั้นต้น
6.) ปัญหาการใช้จ านวนสมาชิกในสาขาพรรค ตัวแทนพรรคประจ าจังหวัด ชุดรายชื่อ และบัญชีรายชื่อ
ในการเลือกตั้งขั้นต้น
ส่วนค าถามวิจัยข้อที่ 2 รูปแบบและกระบวนการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง
หรือปรับปรุงในประเด็นใด ทั้งในเชิงกฎหมายและการปฏิบัติ เพื่อให้เกิด “ตัวแบบ” ที่เป็นระบบการสรรหา
ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยและสามารถปฏิบัติจริงได้ คณะผู้วิจัยเสนอว่าควรต้องมีการแก้ไข
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการสรรหาผู้ลงสมัคร
รับเลือกตั้ง โดยเฉพาะเงื่อนไขเรื่องสาขาพรรคการเมือง ตัวแทนพรรคการเมืองประจ าจังหวัด และจ านวนสมาชิก
พรรคในแต่ละเขตเลือกตั้ง เพราะเป็นเงื่อนไขที่มีปัญหาในทางปฏิบัติเป็นอย่างมาก ควรลดหรือยกเลิกรายละเอียด
เหล่านี้ลง และเขียนไว้แต่ในเชิงหลักการ ก าหนดให้กระบวนการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นเรื่องที่พรรค
การเมืองจะไปออกแบบและพัฒนาเอง จากกรณีศึกษาของพรรคการเมืองในต่างประเทศที่งานวิจัยนี้ได้ศึกษา
ไว้ในบทที่ 2 จะเห็นได้ว่ากระบวนการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองจะด าเนินการเอง
ไม่ใช่กระบวนการที่ก าหนดไว้ในกฎหมายที่มีสภาพบังคับ การพัฒนาตัวแบบระบบการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
ให้เป็นประชาธิปไตยนั้น คณะผู้วิจัยมองว่า ต้องพัฒนาให้กลไกระดับพื้นที่ของพรรคการเมืองกลายเป็นกลไกส าคัญ
ที่มีสิทธิมีเสียงต่อการตัดสินใจของพรรคการเมืองมากยิ่งขึ้น แทนที่จะเป็นแต่เพียงการเสนอชื่อ (nomination)
ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งให้แก่กรรมการบริหารพรรคการเมืองตัดสินใจในขั้นสุดท้าย อ านาจในการตัดสินใจของพรรค
การเมืองไม่ควรจ ากัดอยู่แต่กลุ่มคนเฉพาะ ซึ่งจะกลายเป็นการเมืองแบบเฉพาะกลุ่ม (exclusive) แต่ควรที่จะ
มีการกระจายอ านาจในการตัดสินใจให้แก่กลไกระดับพื้นที่ของพรรคมากขึ้นด้วยเช่นกัน
แนวทางในการพัฒนาตัวแบบระบบการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยและสามารถน ามาใช้
ปฏิบัติได้จริงนั้น งานวิจัยนี้เสนอในเบื้องต้นว่าต้องไม่มีการใช้อ านาจพิเศษดังเช่นการออกค าสั่งหัวหน้าคณะรักษา
ความสงบแห่งชาติ ที่ 53/2560 และค าสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 13/2561 มาก้าวล่วง