Page 113 - kpi22237
P. 113

107


                                                          บทที่ 6

                                                     สรุปผลการศึกษา




                       กระบวนการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง (candidate selection) เป็นกลไกส าคัญกลไกหนึ่งที่บ่งชี้
               ความเป็นประชาธิปไตยภายในพรรคการเมือง เพราะเป็นการสะท้อนว่าใครมีอ านาจมากแค่ไหนภายในพรรค

               การเมือง ซึ่งก็จะเป็นการสะท้อนระบอบประชาธิปไตยในภาพใหญ่เช่นเดียวกันว่าการเมืองเป็นเรื่องของคนทุกคน
               (inclusive) หรือการเมืองเป็นเรื่องเฉพาะกลุ่มบุคคล (exclusive) งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาสาเหตุ ปัญหา
               และอุปสรรคของระบบการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ภายใต้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรค

               การเมือง พ.ศ. 2560 ที่ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง และเพื่อหารูปแบบและกระบวนการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
               เพื่อให้เกิด “ตัวแบบ” ที่เป็นระบบการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยและสามารถปฏิบัติจริงได้

               งานวิจัยนี้ใช้กรอบการวิเคราะห์รวบยอด (conceptual framework) โดยวิเคราะห์กระบวนการสรรหาผู้ลงสมัคร
               รับเลือกตั้งใน 4 มิติ ได้แก่ 1) ผู้เข้ารับการสรรหา (candidacy) ว่าใครบ้างที่สามารถสมัครเข้ารับการสรรหา
               2) ผู้ด าเนินการสรรหา (party selectorates) ว่าใครบ้างที่มีอ านาจ (authority) ที่จะเลือกผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งได้

               3) การกระจายอ านาจในการสรรหา (decentralization) ว่าอ านาจถูกกระจายไปมากน้อยแค่ไหนในกระบวนการ
               สรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง และ 4) ระบบการเลือกหรือสรรหา (Voting/appointment system) ว่ามีการ

               ลงคะแนนเลือกอย่างไร

                       จากค าถามวิจัยข้อที่ 1 เหตุใดระบบการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง ภายใต้พระราชบัญญัติประกอบ

               รัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 จึงไม่สามารถปฏิบัติได้จริง ในงานวิจัยชิ้นนี้พบว่า การที่ระบบ
               การสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งตามกฎหมายปัจจุบันนี้ไม่สามารถท าได้ เป็นเพราะเงื่อนไขการด าเนินการสรรหา

               ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งตามกฎหมาย ทั้งการจัดตั้งสาขาพรรคการเมือง หรือการจัดตั้งตัวแทนพรรคการเมืองประจ า
               จังหวัดที่มีพื้นที่รับผิดชอบในเขตเลือกตั้ง และการต้องหาสมาชิกพรรคให้ได้ถึงจ านวนตามที่กฎหมายก าหนดเพื่อให้

               สามารถจัดกระบวนการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง และส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งได้นั้น เป็นเงื่อนไขที่ท าได้ยาก
               ในทางปฏิบัติ ไม่ได้ช่วยสร้างเสริมให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง หรือเสริมสร้างการมีส่วนร่วมทางการเมืองอย่างแท้จริง
               เป็นแต่เพียง “พิธีกรรม” ที่พรรคการเมืองต้องด าเนินการให้ครบถ้วนตามกฎหมายจึงจะสามารถส่งผู้ลงสมัคร

               รับเลือกตั้งได้ คุณค่าในเชิงกระบวนการจึงไม่เกิดขึ้น ถึงแม้ในทางปฏิบัติ กระบวนการสรรหาผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง
               ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 นี้จะยังไม่เคยถูกน ามาใช้จริง

               เพราะในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 24 มีนาคม 2562 มีบทยกเว้นจากค าสั่งหัวหน้าคณะรักษา
               ความสงบแห่งชาติ ตามมาตรา 44 แห่งรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ยังไม่ให้น ากระบวนการนี้มาใช้

               แต่จากการศึกษาในเชิงลึกในงานวิจัยนี้ คณะผู้วิจัยพบว่า หากมีการน ากระบวนการนี้มาใช้จริงโดยยังไม่มีการ
               แก้ไขใดๆ จะเกิดปัญหาที่ตามมาอีกมากมาย เพราะพรรคการเมืองแต่ละพรรคมีความพร้อมและทรัพยากร
               ไม่เท่ากัน
   108   109   110   111   112   113   114   115   116   117   118