Page 260 - 22221_Fulltext
P. 260
2
โครงการนี้เป็นการบูรณาการร่วมกันของเครือข่ายราชการหลายเครือข่ายและเครือข่าย
ประชาชนในพื้นที่ดำเนินการร่วมกัน โดยจัดให้มีการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ
(MOU) ระหว่างเครือข่าย และแต่งตั้งคณะทำงานจากหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง กำหนด
หน้าที่ความรับผิดชอบร่วมกันในการขับเคลื่อนโครงการ เพื่อแก้ไขปัญหาการทำประมงของ
ชาวประมงพื้นบ้าน โดยใช้แนวทางที่จะสร้างแหล่งอาศัย แหล่งอนุบาลพันธุ์สัตว์ ในบริเวณ
ชายฝั่งทะเลให้มีปริมาณมากขึ้น ทำให้ชาวประมงพื้นบ้านสามารถจับสัตว์น้ำได้เพิ่มขึ้น
โดยไม่ต้องออกไปห่างฝั่ง นำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำในการประกอบอาชีพ รวมถึง
ยังเป็นการสร้างสมานฉันท์ที่ดีต่อกันภายในชุมชนประมงพื้นบ้านอีกด้วย
“ซั้งเชือก” คือหญ้าเทียม เป็นการนำภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีมาในอดีต มาทดแทน
หญ้าจริงในทะเล ซึ่งมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับหญ้าจริงมาก ส่วนประกอบคือเชือกใยยักษ์
โดยคลี่เชือกจากเส้นใหญ่ให้เป็นเส้นเล็กฝอยและนำไปวางลงในทะเลในจุดที่มีความลึกของ
น้ำทะเลที่เหมาะสม โดยให้ซั้งเชือกทำหน้าที่เป็นแหล่งเพาะฟักตัวของสัตว์น้ำวัยอ่อน
แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำขนาดเล็ก รวมถึงปลานานาชนิดและสัตว์น้ำทะเลอื่นๆ ได้มาอยู่อาศัย
ร่วมกัน ดังนั้น “ซั้งเชือก” จึงเป็นการสร้างความมั่นคงทางอาชีพให้กับชุมชนประมงพื้นบ้าน
ผลการดำเนินงาน
ปัจจุบันเกิดผลผลิตเชิงประจักษ์ต่อชุมชน คือพื้นที่โครงการมีความอุดมสมบูรณ์เพิ่มขึ้น
ชุมชนมีผลผลิตมากขึ้นและขนาดของปลาใหญ่ขึ้น
1. ชาวประมงพื้นบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการวางซั้งเชือก ทำให้ทะเลชายฝั่ง
มีความอุดมสมบูรณ์ ปริมาณสัตว์น้ำเพิ่มมากขึ้น และมีขนาดใหญ่ขึ้นทำให้รายได้เพิ่มขึ้น
วันละ 500-1000 บาท
2. ชาวประมงพื้นบ้านมีรายจ่ายน้อยลงเนื่องจากไม่ต้องออกเรือไกลจากฝั่ง สามารถ
ลดเวลาและค่าน้ำมันเชื้อเพลิง วันละ 100 - 200 บาท
3. สามารถพัฒนาบริเวณซั้งเชือกเป็นแหล่งตกปลาให้กับนักท่องเที่ยวสร้างรายได้เสริม
เดือนละ 2000 – 3000 บาท
4. ในการจัดทำและวางซั้งเชือกกำหนดให้ประชาชนในหมู่บ้านเป็นผู้ดำเนินการทำให้
ประชาชนมีงานทำหมู่บ้านละ 20 - 30 คน มีรายได้เสริมระหว่างโครงการ เช่น ได้รับค่าจ้าง
จากการคลี่เชือก ต้นละ 350 บาท ทิ้งซั้ง ต้นละ 300 บาท หล่อลูกปูน ลูกละ 150 บาท
เป็นต้น
รางวัลพระปกเกล้า’ 64