Page 46 - kpi20973
P. 46

45



                 2.4 แนวคิดเกี่ยวกับการลดความเหลื่อมล ้า


                        ความเหลื่อมล ้าในสังคมด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจนั นเป็น “ปัญหา” ที่เราต้องหาทางแก้ไข

                 หรือไม่ และถ้าต้องแก้ควรใช้วิธีอะไร เป็นค้าถามที่ขึ นอยู่กับอุดมการณ์หรือจุดยืนของคนในสังคม ปัจจุบัน

                 มีส้านักคิดใหญ่สามแห่งที่มีอิทธิพลต่อการก้าหนดนโยบายและวิวาทะสาธารณะในกรอบของระบบเศรษฐกิจ

                 แบบทุนนิยม ได้แก่ เสรีนิยม (Liberalism) ความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice) และสมรรถภาพมนุษย์

                 (Capabilities Approach) ความแตกต่างระหว่างส้านักคิดทั งสามส่วนใหญ่อยู่ที่การให้น ้าหนักกับ “เสรีภาพ

                 ของปัจเจก” และ “ความยุติธรรมในสังคม” ไม่เท่ากัน  ส้านักคิดทั งสามนี มีความ “เท่าเทียมกันทางศีลธรรม”

                 (Morally Equivalent) กล่าวคือ ไม่มีชุดหลักเกณฑ์สมบูรณ์ใดๆ ที่จะช่วยเราตัดสินได้ว่าส้านักคิดใด “ดีกว่า”

                 หรือ “เลวกว่า” กัน เนื่องจากต่างก็มีจุดยืนทางศีลธรรมด้วยกันทั งสิ น เพียงแต่ให้น ้าหนักกับคุณค่าหรือ

                 คุณธรรมต่างๆ ไม่เท่ากัน การตัดสินว่าจะเชื่อหรือประยุกต์ใช้แนวคิดของส้านักคิดใดส้านักคิดหนึ่งจึงน่าจะ

                 ตั งอยู่บนการประเมินผลได้และผลเสียของแต่ละแนวคิด เปรียบเทียบกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นจริง

                 มากกว่าการใช้มาตรวัดทางศีลธรรมใดๆ ที่เป็นนามธรรมโดยไม่ค้านึงถึงสถานการณ์จริง  เราสามารถสรุป

                 แนวคิดในส่วนที่เกี่ยวกับความเหลื่อมล ้าของส้านักคิดทั งสามได้คร่าวๆ ดังต่อไปนี


                        นักเสรีนิยมสายคลาสสิก (Classical Liberal) และสายลิเบอทาเรียน (Libertarian) โดยทั่วไปจะไม่มี

                 จุดยืนเกี่ยวกับความเหลื่อมล ้าทางเศรษฐกิจ เนื่องจากเชื่อว่ารัฐควรปล่อยให้มนุษย์ทุกคนมีเสรีภาพที่จะ

                 ท้าอะไรๆ เอง เพราะมองว่าเสรีภาพของปัจเจกคือคุณค่าและคุณธรรมที่ส้าคัญที่สุด ความยุติธรรมต้องอยู่

                 บนพื นฐานของเสรีภาพ รัฐมีหน้าที่อ้านวยให้เกิด “ความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย” โดยไม่ต้องสนใจว่า

                 ความเท่าเทียมดังกล่าวจะน้าไปสู่ความเหลื่อมล ้าทางเศรษฐกิจหรือไม่เพียงใด เนื่องจาก “กลไกตลาด” (ผลรวม

                 ของการกระท้าโดยเสรีของปัจเจก) คือกลไกที่ดีที่สุดหรือมีข้อบกพร่องน้อยที่สุดแล้วในการสร้างประโยชน์

                 สาธารณะ

                        Ludwig von Mises (1966 : 841-842) นักเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมคลาสสิกผู้ทรงอิทธิพลกล่าวว่า

                 นักเสรีนิยมที่รณรงค์ความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายนั น ตระหนักดีว่ามนุษย์เกิดมาไม่เท่าเทียมกันและความ

                 ไม่เท่าเทียมกันนี เองที่เป็นบ่อเกิดของการร่วมมือกันทางสังคมและอารยธรรม ในความเห็นของพวกเขาความ


                 เท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายไม่ได้ถูกออกแบบมาแก้ไขข้อเท็จจริงของจักรวาลที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ หรือเพื่อ
                 ก้าจัดความไม่เท่าเทียมตามธรรมชาติให้หมดสิ นไป แต่ในทางตรงกันข้ามความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมาย


                 ได้รับการออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือที่จะรับประกันว่ามนุษยชาติทั งมวลจะได้รับประโยชน์สูงสุดจากความ
                 ไม่เท่าเทียมดังกล่าว ความเท่าเทียมกันภายใต้กฎหมายนั นดีเพราะมันตอบสนองความต้องการของทุกคนได้ดี
   41   42   43   44   45   46   47   48   49   50   51