Page 6 - kpi19911
P. 6

6



                                                     บทที่ 1 บทน า



               1.1 สภาพทั่วไปของปัญหา
                       ความขัดแย้งเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาความไม่สงบในชุมชน เมื่อเกิดความขัดแย้งก็ย่อมน ามาซึ่ง

               ความบาดหมาง เริ่มตั้งแต่คนในครอบครัวด้วยกัน คนในกลุ่มหรือชุมชนเดียวกัน เมื่อเกิดความขัดแย้งก็จะไม่มีการ
               แก้ไขปัญหาหรือหากมีการแก้ไขปัญหาก็แก้ไขปัญหากันตามรูปแบบและวิธีการของผู้น า บางครั้งความขัดแย้ง
               เหล่านั้นไม่ได้รับการเยียวยาหรือมีการประนีประนอมที่ถูกต้องและเป็นธรรม จึงน ามาซึ่งการใช้สิทธิทางศาลหรือมี
               การแก้ไขปัญหาที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จึงน ามาซึ่งความรุนแรงในชุมชน

                       ภาคตะออกเฉียงเหนือมีจ านวน 20 จังหวัดในพื้นที่ราบสูง เป็นภูมิภาคที่ก าลังพัฒนาด้านเศรษฐกิจ สังคม
               วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว พื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีกลุ่มชุมชนและชาติพันธุ์ที่หลากหลาย ด้วยสภาพ
               สังคมที่มีความเปลี่ยนแปลงไป คนในชุมชนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเริ่มมีบทบาทในการบริหารจัดการชุมชน

               ของตัวเอง การเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชนก็ยังเป็นประเด็นที่ภาครัฐให้ความส าคัญต่อบุคคลในชุมชน ไม่ว่า
               จะมีการด าเนินโครางการต่างๆตามนโยบายของรัฐรวมไปถึงกิจกรรมต่างๆที่อาจมีผลกระทบต่อวิธีชีวิตของคนใน
               ชุมชน รวมไปถึงผลจากการพัฒนาด้านเศรษฐกิจที่เข้าถึงกลุ่มชุมชนได้มากขึ้น เช่นการตั้งโครงงานอุตสาหกรรมใน
               พื้นที่ใกล้ชุมชน การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว การด าเนินโครงการต่างๆตามนโยบายแห่งรัฐ ก็ย่อมเกิดปัญหาความ
               ขัดแย้งในเรื่องใดเรื่องหนึ่งตามมา  ความขัดแย้งต่างๆที่เกิดขึ้นดูเหมือนว่าเป็นเรื่องปกติที่จะต้องเกิดขึ้นในชุมชนที่

               มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป แต่ความขัดแย้งดังกล่าวนี้มีหลายระดับ บางระดับ ผู้น ากลุ่มหรือคนในชุมชน
               สามารถจัดการความขัดแย้งเหล่านั้นได้โดยล าพัง แต่ความขัดแย้งในระดับที่เข้มข้น บางครั้งการจัดการความ
               ขัดแย้งก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยชุมชนเอง จึงเป็นที่มาของการหาแนวทางเพื่อจะบริหารความขัดแย้งเหล่านั้น ไม่

               ว่าจะอยู่ในระดับใดก็สามารถใช้ “เครื่องมือ”ในการเข้าไปบริหารความขัดแย้งเหล่านั้น อย่างน้อยเครื่องมือก็เป็นสิ่ง
               ที่ผู้ขัดแย้งให้การยอมรับและเป็นการบริหารความขัดแย้งที่ดีและมีทางออกให้กับชุมชน ในทางกลับกันหากเกิด
               ความขัดแย้งในชุมชนขึ้นและประเด็นความขัดแย้งนั้น ไม่ได้รับการเยียวยาหรือปล่อยให้ปัญหาเหล่านั้นหมักหมม
               ไปเรื่อยๆก็อาจเกิดปัญหาอย่างอื่นตามมา จนอาจเกิดความรุนแรงในสังคมเพิ่มขึ้น และถึงเวลานั้นเครื่องมือที่เรา

               สร้างขึ้นเพื่อบริหารความขัดแย้งอาจไม่สามารถใช้ได้กับปัญหาที่เป็นอยู่ สังคมก็จะเกิดความขัดแย้งมากขึ้น
                             การจัดท าแผนที่ความขัดแย้งก็เป็นหนึ่งในวิธีการที่จะสามารถบ่งชี้ให้เห็นต้นเหตุและปลายเหตุของ
               ประเด็นความขัดแย้งเพื่อให้การบริหารความขัดแย้งสามารถแก้ไขได้ตรงจุด ดังนั้น  แผนที่ความขัดแย้ง (Conflict
               Map) เปรียบเสมือน เครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ในการวางแผนการแก้ไขความขัดแย้ง ด้วยการสร้างแผนภาพแล้วระบุ

               ประเด็นการขัดแย้ง ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆกับความขัดแย้งนั้นประเมินทางเลือกต่างๆ ในการ
               แก้ไข เพื่อให้ทุกฝ่ายเห็นภาพรวมของสถานการณ์ตรงกันและสื่อสารระหว่างกันเพื่อร่วมกันหาทางออกของปัญหา
               หรือแก้ไขความขัดแย้งให้เป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายต่อไป
                       ปัจจุบันภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับได้รับการพัฒนาตามนโยบายจากภาครัฐทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม

               และวัฒนธรรมสู่ชุมชนเพื่อให้เจริญรุ่งเรืองไปตามยุคสมัย มีการพัฒนาทรัพยากรบุคคล เมื่อสภาพสังคม
               เปลี่ยนแปลงไป ประกอบกับบุคคลได้ตระหนักถึงสิทธิและหน้าที่ของตนเองในฐานะที่เป็นประชาชนพลเมือง เมื่อมี
               การด าเนินโครงการตามแนวนโยบายของรัฐหรือการด าเนินโครงการของคนในชุมชนกันเอง โดยโครงการต่างๆ

               อาจมีผลกระทบต่อชุมชนหรือสิทธิของบุคคลที่เกี่ยวข้อง  ดังนั้น ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจึงมีโครงการ
               ต่างๆมากมายที่มีการพัฒนาทั้งพื้นที่และโครงการที่พัฒนาทรัพยากรบุคคล รวมไปถึงการได้รับสิทธิต่างๆจากทาง
               ภาครัฐและเอกชนหรือการบริหารจัดการชุมชนด้วยกันเอง เช่น โครงการพัฒนาแหล่งน้ าเพื่อการเกษตร โครงการ
               พัฒนาด้านคมนาคม การปรับปรุงภูมิทัศน์ หรือโครงการด้านเศรษฐกิจของภาคเอกชน  ซึ่งโครงการทั้งหลายล้วน
               แล้วแต่มีความเกี่ยวเนื่องกับสิทธิและหน้าที่ของบุคคลในชุมชนที่จะแสดงออกในการมีส่วนร่วมหรือเห็นพ้องต้องกัน

               ขณะเดียวในโครงการเดียวกันอาจมีบุคคลในชุมชนมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป จึงน ามาซึ่งความเห็นที่
   1   2   3   4   5   6   7   8   9   10   11