Page 309 - kpi19903
P. 309

274



               จะเลือกพรรครีพับลิกัน (A Gelman, 2010) ในประเทศไทยพบว่าผู้ที่มีอายุมากกว่าจะมีการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
               มากกว่า (Thananithichot, 2011; อรรถสิทธิ์ พานแก้ว, 2556a)

                       การศึกษาในประเทศไทยพบว่าผู้หญิงมีส่วนร่วมทางการเมืองต่ ากว่าผู้ชาย แต่ผู้หญิงที่มีส่วนร่วม

               ทางการเมืองสูงกว่าจะมีความพึงพอใจต่อระบอบประชาธิปไตยสูงกว่าผู้ที่มีส่วนร่วมทางการเมืองน้อย และ
               ผู้หญิงในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะกรุงเทพฯรอบในมีความพอใจในระบอบประชาธิปไตยที่เป็นอยู่น้อยกว่าผู้หญิงที่

               อยู่ในต่างจังหวัดทั้งเขตเทศบาลและชนบท (ถวิลวดี บุรีกุล, 2544) ผลการศึกษายังพบว่าเพศชายไปใช้สิทธิ

               เลือกตั้งมากกว่าเพศหญิงเล็กน้อย (Thananithichot, 2011) ในขณะที่อีกการศึกษากลับพบว่าเพศไม่มี
               ความสัมพันธ์กับการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง (อรรถสิทธิ์ พานแก้ว, 2556a) ผลการศึกษาในอเมริกาพบว่าเพศ

               นั้นไม่มีอิทธิพลต่อการออกเสียงเลือกตั้ง (Wing & Walker, 2010)

                       ผลการศึกษาการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาพบว่าเชื้อชาติและศาสนามีผลต่อการเลือกประธานาธิบดี
               ของสหรัฐอเมริกา (A Gelman, 2010) ในขณะที่ผลการวิเคราะห์การเลือกตั้งในประเทศไทยใน ปี 2548,

               2550 และ 2554 พบว่าภาคใต้เป็นภาคที่มีความเป็นภูมิภาคนิยมและเลือกพรรคประชาธิปัตย์ และในภาคใต้ก็

               มีประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามค่อนข้างมาก ภูมิภาคนิยมนั้นแท้จริงแล้วอาจจะเป็นเรื่องของความศรัทธาใน
               ศาสนาซึ่งอาจมีความสัมพันธ์ต่อผลการเลือกตั้งหรือไม่? เป็นค าถามที่น่าจะตั้งค าถามได้เช่นกันส าหรับการ

               เมืองไทย


                       17.2.4 ความนิยมและความเชื่อมั่นในนักการเมืองและพรรคการเมืองกับพฤติกรรมการเลือกตั้ง

                       ตัวแบบคุณค่าทางการเมือง (Valence Politics Model) อธิบายว่าความนิยมและความเชื่อมั่นใน

               หัวหน้าพรรคการเมืองและพรรคการเมือง ถูกน ามาใช้เป็น “ตัวช่วย” ในการตัดสินใจในการออกเสียงเลือกตั้ง
               ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง เนื่องจากการเลือกตั้งแต่ละครั้งมีการส่งผ่านข้อมูลมาสู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในจ านวนมาก ผู้มี

               สิทธิบางคนอาจจะสนใจหรือไม่สนใจข้อมูลเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้มีสิทธิบางคนอาจ พบว่า ตัวเองไม่มีความรู้
               ความเข้าใจเกี่ยวกับการเลือกตั้งมากพอจึงต้องการ “ตัวช่วย” ที่ตนรู้สึกมั่นใจว่าเป็นตัวช่วยที่ดีในการ

               ประกอบการตัดสินใจในการลงคะแนนเสียงได้ซึ่งความรู้สึกของตนที่มีต่อหัวหน้าพรรคและพรรคการเมือง

               นั่นเอง รวมถึงความมั่นใจในพรรคการเมืองในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง (Sniderman et al., 1991) ในอีก
               ด้านหนึ่งตัวแบบทางจิตวิทยาสังคม (The social psychological model) ก็ศึกษาตัวแปรทางจิตวิทยาสังคมที่

               สัมพันธ์กับพฤติกรรมการเลือกตั้งอันได้แก่ เจตคติ ซึ่งความเชื่อมั่นในหัวหน้าพรรคการเมืองและนักการเมืองก็

               อาจจะถือว่าเป็นตัวแปรทางจิตวิทยาสังคมได้เช่นเดียวกัน
                       ผลการวิจัยในประเทศไทยนั้นพบว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินใจลงคะแนนให้ผู้สมัครโดยใช้คุณลักษณะที่

               แตกต่างกัน 3 ประเภทประการแรก คือ ด้วยคุณลักษณะด้านความเชี่ยวชาญทางนโยบายโดยพิจารณาว่า

               ผู้สมัครรับเลือกตั้งเป็นผู้ที่สามารถท างานบริหารได้หรือไม่ ประการที่สอง เป็นแนวคิดท้องถิ่นนิยมโดยเฉพาะใน
               ประเด็นที่ว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งจะท าอะไรให้ชุมชนท้องถิ่นได้บ้าง และประการที่สามเป็นลักษณะส่วนตัวเป็น
   304   305   306   307   308   309   310   311   312   313   314