Page 311 - kpi19903
P. 311

276



               2017; Turner & Reynolds, 2008) ดังนั้นผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งมีแนวโน้มที่จะเลือกพรรคการเมืองและ
               นักการเมืองที่เป็นตัวแทนความคิดของตนเอง

                       ผลการทบทวนวรรณกรรมปัจจัยสัมพันธ์กับพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแสดงในรูปที่ 17.1

               ดังนี้



























                           รูปที่ 17.1 กรอบแนวคิดการวิจัยเพื่อพัฒนาตัวแบบท านายพฤติกรรมการเลือกตั้ง


               17.2 วิธีกำรวิจัย


                       17.2.1 ข้อมูลและตัวแปรในการศึกษา

                       ข้อมูลที่ในการวิจัยนี้เป็นข้อมูลทุติยภูมิจากผลการส ารวจความคิดเห็นของประชาชนชาวไทยต่อการ

               เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2554 (ก่อนการเลือกตั้ง) ที่ได้จากการส ารวจของสถาบันพระปกเกล้า
               และส านักงานสถิติแห่งชาติใน พ.ศ. 2554 โดยมีตัวอย่างทั้งหมด 1,500 คน

                       ผลการส ารวจพบว่าประชาชนที่ตอบแบบสอบถามรายงานว่าตนลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแบบแบ่งเขต

               และบัญชีรายชื่อดังแสดงรูปที่ 17.2 และรูปที่ 17.3
                       การลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแบบแบ่งเขตของตัวอย่างพบว่า เลือกพรรคเพื่อไทย 47.9% เลือกพรรค

               ประชาธิปัตย์ 28.5% ส่วนพรรคอื่น ๆ 0.1-4.2% เมื่อพิจารณาเฉพาะผู้ที่ลงคะแนนให้พรรคการเมือง ซึ่งไม่นับ

               Vote No ไปแต่ไม่กา/ตั้งใจท าบัตรเสีย ไม่ทราบ และไม่มีข้อมูล โดยรวมพรรคการเมืองที่ประชาชนเลือกไม่ถึง
               5 % รวมกัน พบว่าประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทย 56.3% พรรคประชาธิปัตย์ 33.5 % และพรรคอื่น ๆ 10.2%

                       ผลการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อของตัวอย่างในรูปที่ 17.2 พบว่า เลือกพรรคเพื่อไทย

               52.3% เลือกพรรคประชาธิปัตย์ 29.5% ส่วนพรรคอื่น ๆ 0.1-1.5 % เมื่อพิจารณาเฉพาะผู้ที่ลงคะแนนให้
               พรรคการเมือง ซึ่งไม่นับ Vote No ไปแต่ไม่กา/ตั้งใจท าบัตรเสีย ไม่ทราบ และไม่มีข้อมูล โดยรวมพรรค

               การเมืองที่ประชาชนเลือกไม่ถึง 5% รวมกัน พบว่าประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทย 60.1% พรรคประชาธิปัตย์

               33.9% และพรรคอื่น ๆ 6.0%
   306   307   308   309   310   311   312   313   314   315   316