Page 111 - kpi19903
P. 111
84
ท านายพฤติกรรมในอนาคตได้ดีเช่นกัน (Ouellette & Wood, 1998) แต่นักจิตวิทยาบางคนก็ไม่เชื่อเช่นนั้น
โดยอธิบายว่าเป็นเพียงผลจากการวัดด้วยวิธีการเดียวกันและข้อบกพร่องของการวิเคราะห์ (Icek Ajzen,
2002)
พฤติกรรมที่ท าซ้ า ๆ บ่อยครั้งอาจจะเรียกว่าเป็นนิสัย (Habit) และท าไปด้วยความเคยชิน
(Habituation) ส่งผลต่อการแสดงพฤติกรรมอย่างอัตโนมัติโดยไม่ผ่านกระบวนการตัดสินใจ (Triandis, 1977)
หากผลของพฤติกรรมในอดีตนั้น ส่งผลทางบวกต่อบุคคลที่กระท าแล้ว เมื่ออยู่ในสถานการณ์ แบบเดียวกันอีก
หรือมีปัจจัยแวดล้อมที่ไม่แตกต่างไปจากเดิม บุคคลนั้นมีแนวโน้มที่จะแสดงพฤติกรรมนั้นซ้ าอีก (Bentler &
Speckart, 1981; Ouellette & Wood, 1998) หลังจากที่คนเราได้ท าพฤติกรรมใดไปแล้วจะยึดติดกับ
พฤติกรรมนั้น และมักจะคิดหาความรู้หรือหลักการที่ได้เรียนรู้มาก่อนหน้าอย่างล าเอียง เพื่อสนับสนุนว่าสิ่งที่
ตัวเองได้กระท าไปนั้นถูกต้องแล้ว (Janis & King, 1954) โดยเฉพาะ อย่างยิ่งกับในกรณีที่พฤติกรรมนั้นให้ผล
ลัพธ์ที่พึงปรารถนา จากนั้นจะพัฒนามาเป็นเจตคติ (Attitude) ต่อพฤติกรรมที่มีอิทธิพลต่อเจตนาเชิง
พฤติกรรมที่จะแสดงพฤติกรรมนั้นซ้ าอีก แม้ว่าพฤติกรรมที่แสดงออกนั้นขัดแย้งกับเจตคติเดิมที่มีต่อพฤติกรรม
นั้น ๆ มนุษย์เราก็จะพยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองโดยโน้มน้าวว่ามีเหตุผลที่ดีที่จะต้องกระท าสิ่งนั้น และไป
แก้ไขเจตคติที่ขัดแย้งนั้นใหม่ จากนั้นก็จะใช้เจตคติที่แก้ไขใหม่นี้ในการตัดสินใจแสดงพฤติกรรมในอนาคตแทน
ตามทฤษฎีความไม่คล้องจองของปัญญา (Cognitive dissonance theory) (L. Festinger, 1957; L.
Festinger & Carlsmith, 1959; Wicklund & Brehm, 1976) หลายครั้งการท าพฤติกรรมในอนาคตนั้นไม่ได้
ไตร่ตรองหรือรับรู้ผลลัพธ์ของพฤติกรรมครั้งล่าสุดที่ได้กระท าไปแต่อย่างใด (Bern & McConnell, 1970) ทั้งนี้
พฤติกรรมในอดีตน าไปสู่ 1) อคติ การตีความเข้าข้างพฤติกรรม หรือการเปลี่ยนเจตคติให้สอดคล้องกับ
พฤติกรรมที่ได้ท ามาในอดีต 2) ท าให้เกิดการรับรู้ตนเอง (Self-perception) ที่น าไปสู่เจตคติ และ 3) ท านาย
พฤติกรรมในอนาคตได้ (Albarracin & Wyer, 2000) ดังนั้นจึงตั้งสมมุติฐานว่า
H5 : การไปลงคะแนนเลือกตั้งครั้งก่อนสัมพันธ์ทางบวกกับความตั้งใจที่จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
6.4.6 ระดับการศึกษากับความตั้งใจที่จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
ผลการวิจัยในต่างประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกา (A. Blais, 2000; Wolfinger & Rosenstone, 1980
) และแคนาดา (Chapman & Palda, 1983) นั้น พบว่าผู้ที่มีการศึกษาที่สูงจะมีแนวโน้มที่จะออกไปมีส่วนร่วม
ทางการเมืองมากกว่าผู้ที่มีการศึกษาต่ า เพราะการศึกษาที่มากขึ้นนั้นจะท าให้ผู้เรียนมีความเข้าใจในการเมือง
มากยิ่งขึ้น และตระหนักถึงหน้าที่ของตนเองต่อสังคมที่จะต้องมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยการออกไปใช้สิทธิ
เลือกตั้งเป็นอย่างน้อย
แต่ในประเทศไทยนั้น ในการเลือกตั้งทุกครั้งเราจะพบว่าในเขตเทศบาลและในกรุงเทพมหานคร สถิติ
การออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งจะต่ ากว่านอกเขตเทศบาลและในต่างจังหวัดอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยที่ประชากรที่
อาศัยในเขตเทศบาลและในกรุงเทพมหานครหรือสังคมเมืองมักจะมีระดับการศึกษาสูงกว่าประชากรนอกเขต
เทศบาลหรือในกรุงเทพมหานคร