Page 163 - kpi11530
P. 163
คำพิพากษา“ใน”คดีปกครองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
นับอายุบุคคลแต่ไหนแต่ไรมาก็ยึดถือตามาตรา ๑๕๘ (หรือมาตรา
๑๙๓/๓ ตามกฎหมายปัจจุบันที่แก้ไขแล้ว) แห่งประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเป็นหลักทั่วๆ ไปว่าการนับระยะเวลาไม่ให้นับวัน
แรกแห่งระยะเวลานั้นเข้าด้วย ดังนั้น เมื่อจะนับอายุบุคคลก็ไม่นับวัน
เกิดวันแรกมาคำนวณด้วย โดยให้นับวันถัดไป ดังนั้น กรณีข้าราชการ
ซึ่งเกิดวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ จึงเริ่มนับอายุตั้งแต่วันที่
๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๙ และจะมีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ ในวันที่
๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ ซึ่งเกินวันสิ้นปีงบประมาณ (๓๐ กันยายน
๒๕๐๙) จึงมีสิทธิได้รับราชการต่อไปอีก ๑ ปี แม้จะมีการแก้ไขเพิ่ม
“การนับอายุบุคคล เติมกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๖ เมื่อวันที่ ๘ มิถุนายน พ.ศ.
ให้นับแต่วันเกิด” ๒๕๓๕ ว่า “วิธีการนับอายุบุคคลให้เริ่มนับแต่วันเกิด” แต่
ดังนั้น กฎหมายดังกล่าวไม่ควรตีความใช้บังคับย้อนหลังให้เป็นที่เสียสิทธิแก่
การนับอายุบุคคล ข้าราชการที่รับราชการมาก่อนวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๕
จึงต้องเริ่มนับแต่วันเกิด แล้วศาลตัดสินว่าอย่างไร ตามพระราชบัญญัติบำเหน็จ
เปลี่ยนจากเดิม บำนาญข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๐๐ มาตรา ๒๑ บัญญัติให้
ที่ให้นับหลังวันเกิดไป
“ข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์แล้วเป็น
อันพ้นจากราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณที่อายุครบหกสิบปี
บริบูรณ์นั้น” จึงมีปัญหาว่าปลัดกรุงเทพมหานครมีอายุครบหกสิบปี
บริบูรณ์เมื่อใด ครบหกสิบปีในวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๕ หรือ
ครบหกสิบปีในวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ เพราะหากนับอายุว่า
ครบหกสิบปีบริบูรณ์ในวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ก็จะพ้นจาก
ราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณที่อายุครบหกสิบปีบริบูรณ์ คือจะ
เกษียณอายุราชการเมื่อ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๖ นั่นเอง
บริหารงานบุคคล 3