Page 6 - kpiebook66015
P. 6
บทสรุปผู้บริหาร
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาเป็นระบบที่ก าหนดให้ประชาชนเลือก
ฝ่ายนิติบัญญัติ (สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) และให้ฝ่ายนิติบัญญัติเลือกประมุขของฝ่ายบริหาร เมื่อฝ่ายบริหารมี
ที่มาจากฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายบริหารจึงต้องอยู่ด้วยความไว้วางใจของฝ่ายนิติบัญญัติ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ
ฝ่ายนิติบัญญัติสามารถควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีการตั้งกระทู้ถามหรือการเปิด
อภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจก็ตาม ส่วนฝ่ายบริหารเองก็สามารถถ่วงดุลอ านาจกับฝ่ายนิติบัญญัติได้ด้วยการ
ยุบสภา แม้ว่ารูปแบบการปกครองดังกล่าวจะถูกน าไปใช้ในหลายประเทศแต่ก็ได้ผลลัพธ์แตกต่างกันจนต้องมี
การปรับการก าหนดรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารเพื่อให้เกิดการตรวจสอบ
ถ่วงดุลการใช้อ านาจอย่างเหมาะสม
ในส่วนของประเทศไทยนั้น ตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยใน พ.ศ.
2475 ประเทศไทยก็เลือกก าหนดรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารแบบระบบ
รัฐสภามาโดยตลอด ก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 (รัฐธรรมนูญ ฯ
พ.ศ. 2540) บริบทการเมืองไทยถือว่าประสบปัญหากับความไร้เสถียรภาพของรัฐบาล ดังนั้น การปฏิรูป
การเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวจึงพยายามสร้างวางกลไกเพื่อให้รัฐบาลเข้มแข็งคล้ายกับกลไกของ
ประเทศฝรั่งเศส และยังสร้างองค์กรตรวจสอบการใช้อ านาจรัฐเพื่อควบคุมความชอบด้วยกฎหมาย และ
ควบคุมความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ระบบการเมืองภายใต้รัฐธรรมนูญ ฯ พ.ศ. 2540 กลับ
ก่อให้เกิดปัญหาใหม่ซึ่งสะท้อนให้เห็นจุดอ่อนของระบบรัฐสภาที่ชัดเจน กล่าวคือ โดยธรรมชาติของระบบ
รัฐสภานั้น ฝ่ายบริหารจะมาจากเสียงข้างมากของฝ่ายนิติบัญญัติ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ฝ่ายบริหารและ
เสียงข้างมากในรัฐสภาจะอยู่ฝ่ายเดียวกัน ท าให้การควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินอาจจะไม่มีประสิทธิภาพ
ในความเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่ฝ่ายบริหารมีเสียงข้างมากในรัฐสภาถึงขนาดที่พรรคฝ่ายค้านมีเสียง
ไม่เพียงพอในการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ และแม้ว่าที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่
ประกาศใช้หลังจากรัฐธรรมนูญ ฯ พ.ศ. 2540 จะพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่การวางกลไกเพื่อแก้ปัญหามี
ลักษณะเหมือนการพยายามท าปัญหาเรื่องการเมืองให้กลายเป็นเรื่องกฎหมายและให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน ซึ่งท าให้
เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ว่าท าให้ฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐสภา อ่อนแอลง อีกทั้งการแก้ปัญหาโดยท า
ให้เรื่องการเมืองเป็นเรื่องกฎหมายนั้น จะท าให้เหลือทางออกเพียง “ใช่” กับ “ไม่ใช่” หรือ “ผิด” กับ “ถูก”
ซึ่งขาดการประสานประโยชน์หรือท าให้เกิดสถานการณ์ที่ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
ด้วยเหตุนี้ งานวิจัยฉบับนี้จึงมุ่งศึกษาแนวทางในการไขปัญหาเรื่องของบกพร่องของการตรวจสอบ
ถ่วงดุลในระบบรัฐสภาเพื่อน ามาปรับใช้กับกรณีของประเทศไทย โดยอยู่ภายใต้หลักการที่ว่า ท าอย่างไรให้
รัฐสภาสามารถตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายบริหารได้อย่างแท้จริง ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าการตรวจสอบนั้นจะต้องยังคง
ท าให้การบริหารราชการแผ่นดินสามารถด าเนินต่อไปได้ และน าเสนอข้อเสนอเพื่อเป็นทางออกส าหรับการ
แก้ไขปัญหาเรื่องการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารในระบบรัฐสภาในประเทศไทย
ด้วย เพื่อตอบค าถามว่า จะท ำอย่ำงไรให้เกิดกำรตรวจสอบถ่วงดุลระหว่ำงฝ่ำยนิติบัญญัติและฝ่ำยบริหำรได้
อย่ำงแท้จริงในระบบรัฐสภำซึ่งก ำหนดให้นำยกรัฐมนตรีซึ่งเป็นประมุขของฝ่ำยบริหำรมำจำกเสียงข้ำงมำกของ
5