Page 120 - kpiebook66001
P. 120

การประชุมวิชาการ
         112 สถาบันพระปกเกล้า ครั้งที่ 24
           ความท้าทายของความมั่นคงใหม่กับประชาธิปไตย

               ประสบการณ์จากคนรอบข้างซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มขบวนการและมองว่าเป็นแนวปฏิบัติของ

               ผู้กล้าหรือผู้เสียสละเพื่อแผ่นดิน

                     งานของ Sascha Helbardt (2012) ได้กล่าวถึงเรื่องการปลูกฝังไว้ในบทความเรื่อง
               Becoming Patani Warrior: Individuals and Insurgent collective in Southern Thailand
               โดยระบุว่า บีอาร์เอ็นปลูกฝังอุดมการณ์ชาตินิยมมลายู ดำเนินปฏิบัติการสอดแนมในหมู่บ้าน

               และมีการระดมเสียงสนับสนุนจากมวลชน โดยการขยายอุดมการณ์ชาตินิยมมลายูนี้จะเป็นไป
               เพื่อระดมหาสมาชิกโดยเฉพาะเยาวชนในชุมชนด้วยเช่นกัน ขณะที่งานของ รุ่งรวี เฉลิมศรี
               ภิญโญรัช (2021) มองในประเด็นเรื่องความเชื่อและการปลูกฝังของกลุ่มขบวนการผ่าน
               บทความเรื่อง อิสลามและบีอาร์เอนขบวนการติดอาวุธแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ประเทศไทย

               (Islam and the BRN’s armed separatist movement in Southern Thailand) ระบุว่า
               บทบาทและปัจจัยทางศาสนาก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ชาวมลายูมุสลิมจำนวนมากเข้าร่วมกับ
               กลุ่มขบวนการ BRN การก่อเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้น ฝ่ายขบวนการมักให้เหตุผลในเชิงของ
               ความศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนาอิสลามคือการทำญิฮาดและศาสนานับว่ามีส่วนสำคัญอย่างยิ่งโดยมี

               การบรรจุอยู่ในวาระต่อสู้ทางการเมืองของกลุ่มบีอาร์เอ็นและในฝ่ายนักรบเองก็ถูกปลูกฝัง
               ความเชื่อทางศาสนาอย่างเหนียวแน่นและได้นำความเชื่อดังกล่าวเป็นตัวแปรสู่การก่อเหตุและ
               ต่อสู้กับฝ่ายกองกำลังความมั่นคงของรัฐไทย

                     นอกจากนั้นแล้ว งานของรุ่งรวี เฉลิมศรีภิญโญรัช (2562) ได้ตั้งข้อสังเกตต่อประเด็น

               แนวคิดและอุดมการณ์ของกลุ่มขบวนการ ในบทความเรื่อง “อิสลามกับการต่อสู่ของขบวนการ
               ปลดปล่อยปาตานีหลัง 2547” เอาไว้ว่า “ศาสนาอิสลามเป็นองค์ประกอบสำคัญอย่างยิ่ง
               ในการต่อสู้ของบีอาร์เอ็น ซึ่งแยกไม่ออกจากความเป็นชาติพันธุ์มลายู อิสลามเป็นส่วนหนึ่งของ

               อัตลักษณ์ที่ต้องปกป้อง เป็นกรอบคิดในการให้ความชอบธรรมกับการต่อสู้ เป็นแหล่งอ้างอิงถึง
               กฎกติกาในการทำสงคราม รวมถึงเป็นกรอบพื้นฐานทางกฎหมายในการสร้างรัฐ” โดยรุ่งรวี
               ยังตั้งข้อถกเถียงที่น่าสนใจว่าศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ชาวมลายูมุสลิมเรียกร้อง และอิสลาม
               เป็นฐานความชอบธรรมและเป็นกรอบกติกาในการทำสงครามเพื่อปกป้องศาสนาและชาติพันธุ์
               มลายู อีกทั้งอิสลามเป็นฐานคิดของรูปแบบรัฐชาติที่ชาวมลายูมุสลิมพึงปรารถนา ขณะที่

               นักวิชาการบางท่านก็มองว่า กลุ่มขบวนการเป็นกลุ่มชาตินิยมที่ต่อสู้เพื่อชาติพันธุ์ มองว่า
               ศาสนาอิสลามเป็นเพียงเครื่องมือที่ถูกหยิบมาใช้ในการปลุกเร้าให้คนเข้าร่วมขบวนการเท่านั้น
               (McCargo, 2008; Liow& Pathan, 2010; Gunaratna & Acharya, 2012)

                     ความเชื่อมโยงของความเชื่อที่มาพร้อมกับมิติด้านศาสนาและอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์
        การประชุมกลุ่มย่อยที่ 3   ก็มักทำให้เห็นว่าผู้เห็นต่างที่มีการปฏิบัติการมักจะได้รับฟังเรื่องราวจากในชุมชนและสถานศึกษา


               ซึ่งในประเด็นนี้ก็สอดคล้องกับงานของแพร ศิริดำเกิง (2561) ได้ระบุว่า บุคลิกของคนที่มักจะ
               ถูกเชิญชวนเข้าร่วมขบวนการมักจะเป็นผู้เคร่งครัดในทางศาสนา และการเติบโตของอุดมการณ์

               ก็มักจะเกิดขึ้นในโรงเรียนสอนศาสนาในพื้นที่
   115   116   117   118   119   120   121   122   123   124   125