Page 26 - kpiebook65021
P. 26

โครงการการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางด้านสิทธิและการมีส่วนร่วมแก่ประชาชน:  กรณีศึกษาการพัฒนานโยบายจากภาคประชาชน จังหวัดจันทบุรี





                                                           บทที่ 1
                                                           บทน ำ


                 1.1 หลักกำรและเหตุผล


                        นโยบายสาธารณะ เป็นความสามารถของรัฐในฐานะผู้ด าเนินการให้เกิดปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจสังคม
                 ที่มีประสิทธิภาพ โดยควบรวมภาคประชาสังคมและพลเมืองเพื่อความเป็นหุ้นส่วนที่แท้จริง (Chaltseva and
                 Neprytska, 2020, p.138) หากแต่การมีสิทธิและความรับผิดชอบของพลเมืองนั้นอาจไม่เพียงพอต่อการมีส่วนร่วม
                 ในนโยบายสาธารณะ ในกรอบของการพัฒนานโยบายสาธารณะนั้นมีความจ าเป็นอย่างมากที่รัฐจะต้องสร้าง

                 วิธีการ เพื่อท าให้การมีส่วนร่วมทางตรงของพลเมืองเกิดขึ้นหรือมีความเป็นไปได้ในการพัฒนานโยบาย
                 สาธารณะ (Karkin, 2011, p.9)


                        ด้วยหน้าที่หลักของนโยบายสาธารณะคือการก าหนดรูปแบบสังคมหรือก าหนดอนาคตเพื่อสิ่งที่ดีกว่า
                 เมื่อก าหนดนโยบายแล้วจะถูกน าไปด าเนินการต่อโดยหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบ (Kaur, 2018, p.1) ส าหรับการ
                 พัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม (Participatory Public Policy) แม้รัฐเป็นผู้ก าหนดนโยบาย แต่เพื่อ

                 สร้างความชอบธรรมในกระบวนการพัฒนานโยบายจึงมีการให้ประชาชนเข้ามีส่วนร่วมในการปรึกษาหารือ
                 ให้ความเห็นเพื่อประกอบการตัดสินใจในฐานะเจ้าของนโยบายหรือหุ้นส่วนทางนโยบาย ตั้งแต่ขั้นตอนในการ
                 เริ่มก่อตัวนโยบาย (policy formation) (ถวิลวดี บุรีกุล, ทศพล สมพงษ์, และสมเกียรติ นากระโทก, 2563, น.39)
                 การพัฒนานโยบายสาธารณะจึงต้องสอดคล้องกับความคิดเห็นสาธารณะ ด้วยเหตุนี้ รัฐที่เป็นประชาธิปไตยจึง

                 ไม่อาจก าหนดนโยบายที่สวนทางกับความความคิดเห็นของสาธารณะได้ (Kaur, 2018, p.3)

                        การให้ความส าคัญกับพลเมืองในการพัฒนานโยบายสาธารณะนี้สอดคล้องกับ Karkin ที่กล่าวว่าการ

                 สนองความต้องการประชาชนอาจพิจารณาการตอบสนองทั้งเชิงสิทธิมนุษยชน และเชิงสิทธิพลเมือง ในเชิง
                 สิทธิมนุษยชนจะเป็นเรื่องพื้นฐาน เช่น บริการทางสุขภาพ การคุ้มครองให้เกิดความปลอดภัย โดยไม่มีข้อจ ากัด
                 ทางเชื้อชาติ ขณะที่การตอบสนองในเชิงสิทธิพลเมืองถูกรับรองด้วยหลักการของความเท่าเทียม ซึ่งมีความยากกว่า

                 การตอบสนองในแบบแรกและรัฐอาจต้องฝึกฝนโดยใช้เครื่องมือทางการบริหารด้วยความชอบธรรม (Karkin,
                 2011, pp.9-10) อาจกล่าวได้ว่า การพัฒนานโยบายสาธารณะแบบมีส่วนร่วม พลเมืองถือว่าอยู่ในฐานะ
                 เจ้าของนโยบาย (ถวิลวดี บุรีกุล, ทศพล สมพงษ์, และสมเกียรติ นากระโทก, 2563, น.44) พลเมืองแต่เดิมอาจ
                 เคยมีบทบาทเป็นผู้รับหรือผู้ถูกกระท า (Object) ได้เปลี่ยนมาเป็นผู้ด าเนินการหรือผู้กระท า (Subject) มากขึ้น
                 ผ่านการตั้งค าถาม ริเริ่ม หรือก าหนดทิศทาง (Karkin, 2011, p.11)


                        ส าหรับประเทศไทย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 43 บุคคลและ
                 ชุมชนย่อมมีสิทธิ (1) อนุรักษ์ ฟื้นฟู หรือส่งเสริมภูมิปัญญา ศิลปะ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และจารีต

                 ประเพณีอันดีงามทั้งของท้องถิ่นและของชาติ (2) จัดการ บ ารุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
                 สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพอย่างสมดุลและยั่งยืนตามวิธีการที่กฎหมายบัญญัติ (3) เข้าชื่อ
                 กันเพื่อเสนอแนะต่อหน่วยงานของรัฐให้ด าเนินการใดอันจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและชุมชน หรืองดเว้น

                 การด าเนินการใดอันจะกระทบต่อความเป็นอยู่อย่างสงบสุขของประชาชนหรือชุมชน และได้รับแจ้งผลการ
                 พิจารณาโดยรวดเร็ว ทั้งนี้ หน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาข้อเสนอแนะนั้นโดยให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วม




                                                             1
   21   22   23   24   25   26   27   28   29   30   31