Page 119 - kpiebook64008
P. 119
หากพิจารณาตามข้อก าหนดของการใช้จ่ายตามระเบียบและประกาศของ กกต. ที่ระบุว่า จังหวัดเชียงใหม่
ถูกตั้งค่าใช้จ่ายในการหาเสียงไว้หัวละไม่เกิน 6.3 ล้านบาท และสมัคร ส.อบจ. 42 เขต รวม 140 คน หาเสียงได้หัวละ
ไม่เกิน 1.5 แสนบาท หากผู้สมัครทุกคนพร้อมใจกันทุ่มงบหาเสียงเต็มก าลัง ก็จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนที่นั่น 58.8 ล้าน
บาท (นายก อบจ. 37.8 ล้านบาท และ ส.อบจ. 21 ล้านบาท) (บีบีซีไทย, 2563) ดังนั้น ในบริบทของการเลือกตั้ง
ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น เงินที่หมุนเวียนในการเลือกตั้งที่อยู่นอกระบบของข้อก าหนดคือเงินบริหารจัดการ
ทั้งระบบหัวคะแนน เครือข่ายผู้น า รวมทั้งเงินซื้อเสียง และเงินสนับสนุนให้แก่พรรค ผู้สมัคร หรือกลุ่มการเมืองต่าง ๆ
ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสีเทามากมายที่สูงกว่าเพดานค่าใช้จ่ายตามที่กฎหมายก าหนดไว้หลายเท่า ท าให้ประเด็นค าถามส าคัญ
ต่อการจัดการเลือกตั้งในอนาคต คือ การควบคุมก ากับและก าหนดบทลงโทษคือ หนทางของการแก้ไขปัญหาการซื้อ
เสียงจริงหรือไม่? เพราะประชาชนไม่ได้มองเห็นเงินซื้อเสียงเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายท าให้การท างานของ กกต.และ
เจ้าหน้าที่รัฐอาจไม่ได้รับความร่วมมือในการแจ้งเบาะแสหรือด าเนินคดีได้ ดังนั้น บทบาทขององค์กรหรือหน่วยงานที่
ควบคุมก ากับดูแล โดยเฉพาะ กกต. ควรมีการท างานเชิงรุกกับภาคชุมชนสังคม ความท้าทายของการบริหารจัดการ
การเลือกตั้งให้มีความเข้มงวด ปลอดจากอิทธิพลของการทุจริตการเลือกตั้งและเงินซื้อเสียงคงไม่สามารถแก้ได้เพียง
การออกกฎหมายต่างๆ แต่ต้องอาศัยการแก้ไขปัญหามิติอื่นๆ ประกอบกันไปด้วย
4.4 การจัดการเลือกตั้ง
การเลือกตั้ง อบจ. ที่ว่างเว้นมากว่า 6 ปีนับจากรัฐประหารปี 2557 ท าให้มีผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งท้องถิ่นหน้า
ใหม่ (อายุ 18-26 ปี) เกิดขึ้นเป็นจ านวนมาก ไม่ต่างจากการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี พ.ศ. 2562 ที่เกิดขึ้นในรอบ 8 ปี
นับจากการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายปี พ.ศ. 2554 ที่ยอดผู้มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกกว่า 7.3 ล้านเสียง
โครงการศึกษาการเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ปี 2563: การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ 98