Page 108 - kpiebook63013
P. 108
108 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ประชาชนยังคงพิจารณาวุฒิการศึกษาเป็นสำาคัญ และอาจทำาให้การเป็นตัวแทนทางการเมืองเป็นเรื่องของ
คนที่มีวุฒิการศึกษาระดับสูงเท่านั้น
ในเรื่องของอายุของผู้สมัคร ผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่ (70 เปอร์เซ็นต์) เห็นว่าอายุของผู้สมัครมีผลต่อ
การตัดสินใจเลือก โดยเป็นไปได้สองทาง ในทางหนึ่ง หากผู้สมัครอายุน้อยแสดงให้เห็นว่า “มีความทันสมัย
สามารถที่จะพัฒนาได้มากกว่า มีความคิดแนวทางใหม่ ๆ มากกว่าคนอายุเยอะที่ความคิดล้าหลัง” “ถ้าแก่มากไป
จะเชื่องช้า การตัดสินใจที่ล้าหลัง เข้ายุคไอทีแล้วก็ต้องหาอายุน้อย ๆ หัวสมัยใหม่เข้ามาบริหาร” ในอีกทาง
หนึ่ง หากผู้สมัครอายุมากจะแสดงให้เห็นถึงประสบการณ์ที่มีมากกว่า “มีผล ยิ่งอายุมากก็มีประสบการณ์มาก
มีจุดยืนที่มั่นคง มีวุฒิสภาวะมากกว่าคนที่อายุน้อย ๆ” “ส่งผล ถ้าอายุยังน้อยมีความคิดหรือทัศนคติ
ที่ใหม่ก็จริง แต่ยังด้อยต่อประสบการณ์ในการทำางานทางด้านการเมือง” ขณะที่ผู้ในสัมภาษณ์ส่วนน้อยเท่านั้น
(30 เปอร์เซ็นต์) ที่เห็นว่าอายุไม่มีผลต่อการตัดสินใจ “ไม่เกี่ยว อายุเป็นเพียงตัวเลข ดูว่าคนนั้นดีหรือไม่ดี”
“ไม่มีผล อายุไม่สามารถการันตีประสบการณ์ได้” “ไม่ขึ้นกับอายุ ขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถ”
ไม่ต่างจากปัจจัยเรื่องพรรคการเมือง ผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่ (60 เปอร์เซ็นต์) เห็นว่าพรรคการเมืองเป็น
ปัจจัยสำาคัญที่ทำาให้ตัดสินใจในการเลือกลงคะแนนเสียงให้ผู้สมัคร โดยให้ความเห็นว่า “ส่งผล เพราะดูนโยบาย
พรรคว่ามีแนวคิดเป็นยังไง มองถึงแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในอนาคต” “มีผล เพราะอุดมการณ์พรรค
ที่มีไม่เหมือนกัน และนโยบายในแต่ละพรรคเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจหลักในการตัดสินใจเลือก” “มีผล
คนในพรรคต้องเป็นคนดี มีอุดมการณ์ความคิดที่ดี ดูนโยบายของพรรคประกอบด้วย” เป็นต้น ซึ่งสอดคล้อง
กับข้อมูลก่อนการเลือกตั้งที่ผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่ (70 เปอร์เซ็นต์) ในเขตเลือกตั้งที่ 1 ให้ความสำาคัญกับ
พรรคการเมืองมากกว่าตัวบุคคลอย่างเห็นได้ชัด โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจาก “พรรคการเมืองเป็นที่ผลิตนโยบาย
ในการหาเสียง” “พรรคการเมืองเป็นจุดกำาเนิดของอุดมการณ์” “พรรคการเมืองดำาเนินการทางการเมืองมา
อย่างยาวนาน” และ “หัวหน้าพรรคการเมืองมีบทบาทอย่างมาก” เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นการให้การยอมรับ
เชื่อมั่น และให้ความสำาคัญกับบทบาทของพรรคการเมืองในระดับหนึ่ง
สำาหรับอาชีพ ผู้ให้สัมภาษณ์ (70 เปอร์เซ็นต์) ในเขตเลือกตั้งที่ 1 เห็นว่าอาชีพไม่มีผลต่อการตัดสินใจ
โดยมองว่า “อาชีพอะไรไม่ส่งผล เพราะมองที่นโยบายและทัศนคติของผู้สมัคร” “ไม่มีผล เพราะอยู่ที่คนไม่เกี่ยวกับ
อาชีพ ไม่ใช่เป็นข้าราชการแต่ขี้โกงก็ไม่เลือก ดูที่การใส่ใจประชาชน” “ไม่มีผล อาชีพข้าราชการบางคนก็สามารถ
ทุจริตได้เพราะฉะนั้นอาชีพไม่มีผล” ดังนั้น จะเห็นว่าในสายตาของผู้ที่ให้สัมภาษณ์ อาชีพไม่ได้แสดงให้เห็นว่า
ผู้สมัครคนนั้นจะเป็นคนดีหรือคนเก่ง เพราะแม้อาชีพที่ดีและได้รับการยกย่องจากประชาชนเช่นอาชีพรับราชการ
นั้นก็ยังปรากฏให้เห็นบ่อยครั้งว่ามีการทุจริต อนึ่ง การไม่ใช้กลุ่มอาชีพเป็นเกณฑ์สำาคัญในการลงคะแนนสะท้อน
ให้เห็นว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งที่ 1 ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมีอาชีพเกี่ยวกับการค้าและการบริการ (เพราะอยู่ใน
เขตเมือง) เปิดโอกาสให้ผู้สมัครจากอาชีพที่หลากหลายเข้าไปทำาหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎรมากกว่า