Page 106 - kpiebook63013
P. 106
106 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุราษฎร์ธานี
4.3 บทวิเครำะห์หลังกำรเลือกตั้ง
เขตเลือกตั้งที่ 1
1 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
ผู้ให้สัมภาษณ์ในเขตเลือกตั้งที่ 1 ทุกคน แสดงทัศนะในทิศทางเดียวกันว่าหากมีผู้สมัครรับเลือกตั้ง
จ่ายเงินเพื่อจูงใจให้ไปลงคะแนนเสียงจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนของตนและจะไม่เลือกผู้สมัครคนนั้น
อย่างแน่นอน (หากพิจารณาจากข้อมูลก่อนการเลือกตั้งที่ระบุว่าเขตเลือกตั้งที่ 1 ไม่มีผู้สมัครหรือหัวคะแนน
ใช้เงินในการจูงใจเพื่อให้ไปเลือกผู้สมัครคนใดคนหนึ่งก็ทำาให้เข้าใจได้ว่าการใช้เงินเพื่อซื้อเสียงในพื้นที่นี้เป็นไป
ได้ยากและตัวผู้สมัครรับเลือกตั้งเองก็น่าจะทราบในประเด็นนี้) ผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าการซื้อเสียง
เป็นสิ่งที่ไม่สุจริตและทำาให้เกิดความไม่เป็นธรรมในการแข่งขัน “เป็นการกระทำาที่ไม่เหมาะสมและไม่ยุติธรรม
ต่อพรรคการเมืองอื่น ๆ และเป็นการเอาเปรียบแสดงให้เห็นความไม่ซื่อสัตย์ในการทำางาน” ขณะที่บางคนให้
เหตุผลว่า “เป็นการสนับสนุนในทางที่ผิด ถ้าจะเลือกต้องเลือกคนดี ๆ เข้าไปบริหารมากกว่าคนที่ใช้เงินซื้ออำานาจ
ไม่เป็นธรรมในการเอาเปรียบพรรคอื่นที่เขาตั้งใจหาเสียง” “ไม่ให้คะแนนเสียง เพราะไม่สุจริต ไม่เป็นกลาง
แสดงถึงการใช้อำานาจในการเอาเปรียบคนอื่น” จากคำาตอบแสดงให้เห็นว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งต้องการการเลือกตั้ง
ที่ปราศจากการทุจริต มีความเป็นธรรมในการแข่งขัน และยังมองว่าการทุจริตที่เกิดขึ้นในขั้นตอนของ
การเลือกตั้งนั้นมีผลต่อการบริหารงานในอนาคตหากคน ๆ นั้นได้รับเลือกตั้ง
ส่วนการได้มาซึ่งคะแนนเสียงโดยไม่ได้ให้เงินกับตัวผู้ลงคะแนนโดยตรง แต่เป็นการให้เงินในรูปของ
การช่วยเหลือในงานสำาคัญต่าง ๆ เช่น การเข้าร่วมงานและให้เงินช่วยเหลืองานเป็นจำานวนมากนั้น ผู้ให้สัมภาษณ์
ส่วนใหญ่ (60 เปอร์เซ็นต์) บอกว่าไม่มีผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนเช่นกัน โดยมองว่าการช่วยเงิน (ใส่ซอง)
ในงานต่าง ๆ ไม่เกี่ยวข้องและเป็นคนละเรื่องกับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง “ไม่มีผล เพราะเราเลือกจาก
ตัวนโยบาย ไม่สนใจเงินที่เขาจะใส่ซองมา เรามีจุดยืนในการเลือก” “ไม่มีผล เพราะอยู่ที่ความชอบส่วนตัว”
“มองที่นโยบายมากกว่าบุญคุณที่เขามีต่อเรา” ขณะที่มีผู้ให้สัมภาษณ์ส่วนหนึ่ง (40 เปอร์เซ็นต์) บอกว่าการนำาเงิน
มาช่วยเหลืองานสำาคัญ ๆ นั้น มีผลเพราะเป็นการช่วยเหลือที่มีนำ้าใจ จำาต้องตอบแทนบุญคุณของเขา
“มีผล เพราะเขาช่วยเราใส่ซองในงานที่เราจัดขึ้นก็แสดงถึงความมีนำ้าใจในการช่วยเหลือผู้อื่น มีผลทำาให้เราเลือก”
“มีผล เพราะรู้สึกเป็นบุญคุณ ต้องตอบแทน” “มีผล เพราะเงินที่เขาให้มาคือต้องการจะช่วยเหลือ เราก็อาจจะ
ต้องตอบแทน” สิ่งที่น่าสนใจคือการให้เงินกับผู้ลงคะแนนเสียงโดยตรงทำาให้เกิดทัศนคติในแง่ลบต่อตัวผู้สมัคร
คนนั้นค่อนข้างมาก แต่การที่ผู้สมัครให้เงินไปให้กับผู้ลงคะแนนเสียงผ่านการใส่ซองช่วยงานต่าง ๆ ไม่ได้ทำาให้เกิด
ทัศนคติในแง่ลบต่อตัวผู้สมัครมากนัก และสามารถทำาให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนหนึ่งลงคะแนนให้กับเขาได้เช่นกัน
สำาหรับคำาถามที่ว่าการช่วยเหลือหรือให้ประโยชน์อื่นที่ไม่ได้อยู่ในรูปตัวเงิน เช่น การช่วยคนในครอบครัว
หรือ การช่วยผู้ลงคะแนนเอง ส่งผลต่อการลงคะแนนเลือกตั้งหรือไม่ ผู้ให้สัมภาษณ์ทุกคน (100 เปอร์เซ็นต์)
ตอบว่าส่งผลอย่างมาก ตัวอย่างเช่น “มีผล เพราะถ้าช่วยครอบครัวของเรา เรารู้สึกถึงความเป็นบุญคุณ