Page 448 - kpiebook63010
P. 448

447








                          ชัยชนะที่ต่อเนื่องยาวนานของพรรคประชาธิปัตย์ มีผลส�าคัญมาจากการที่พรรคประชาธิปัตย์มีองค์กร

                  ที่เข้มแข็งกว่าพรรคอื่น ๆ แต่ในขณะเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์ก็ประสบปัญหาส�าคัญในรอบนี้ที่ท�าให้ไม่ได้รับ
                  ชัยชนะในการเลือกตั้ง มิใช่แค่เพราะการน�าเสนอจุดยืนทางอุดมการณ์ที่อาจจะขัดกับกระแสคนที่ไม่เอาทักษิณ

                  แต่เชื่อประยุทธ์มากกว่า (พลังประชารัฐ) และคนที่ไม่เอาประยุทธ์แต่ไม่เอาทักษิณ (อนาคตใหม่) นั่นคือเรื่องของ
                  สภาวะที่คนในองค์กรของพรรคนั้นขึ้นสู่ต�าแหน่งผู้สมัครไม่ได้ เพราะคนเก่านั้นยังมีฐานคะแนนนิยมอยู่ ดังนั้น

                  ในการคัดเลือกผู้สมัครของพรรคในแต่ละเขตนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้สมัครคนเก่ายังได้รับเลือกเป็นผู้สมัครอยู่ถึง
                  17 คน ขณะที่สมาชิกประชาธิปัตย์เดิมที่ชนะในครั้งที่แล้ว อาจย้ายไปรับต�าแหน่งที่ใหญ่ขึ้นในพรรคพลังประชารัฐ

                  เช่น ณัฐพล ทีปสุวรรณ หรือ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ หรือผู้สมัครหน้าเก่าที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งในรอบที่แล้ว
                  อาจเลื่อนไปรับลงสมัครในนามบัญชีรายชื่อ เช่น นางสาว จิตภัสร์ กฤษดากร (ดุสิต ราชเทวี (5) แต่จิตภัสร์

                  ไม่ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว) จึงสามารถเปิดทางให้มีผู้สมัครหน้าใหม่ได้ เช่น นายแพทย์ คณวัฒน์
                  จันทรลาวัณย์ (บางซื่อ ดุสิตเฉพาะแขวงถนนนครไชยศรี (7))


                          รวมทั้งการที่มีสมาชิกระดับสูงของพรรคเองนั้นย้ายออกไปร่วมรัฐบาลและต่อมาร่วมงานกับพลังประชารัฐ

                  ทั้งกรณีของนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ (ห้วยขวาง วังทองหลาง (7)) และ ณัฐพล ทีปสุวรรณ (ราษฎร์บูรณะ
                  ทุ่งครุ (26)) ขณะที่ สกลธี ภัททิยกุล (หลักสี่ ดอนเมือง (11)) ได้รับการแต่งตั้งให้ด�ารงต�าแหน่งรองผู้ว่าราชการ

                  กรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ. 2561 ทั้งสามได้รับฉายาว่าเป็น สามในสี่ทหารเสือของ กปปส. (มติชนออนไลน์,
                  2561ค) ซึ่งอีกคนหนึ่งได้แก่ ชุมพล จุลใส ซึ่งยังลงสมัครในนามของพรรคประชาธิปัตย์ ที่จังหวัดชุมพร


                          การที่สมาชิกพรรคและผู้บริหารในสาขาของพรรคในระดับท้องถิ่น (เขตในกรุงเทพมหานคร) นั้น

                  ไม่สามารถขึ้นสู่ต�าแหน่งผู้สมัครได้ เพราะผู้สมัครคนเก่านั้นยังได้รับสิทธิในการลงสมัครในนามพรรค ท�าให้ผู้สมัคร
                  เหล่านั้นหลายคนย้ายไปอยู่พรรคอื่น โดยเฉพาะพรรคพลังประชารัฐ และ ภูมิใจไทย เป็นหลัก ทั้งนี้ อีกปัจจัย

                  ที่ส�าคัญก็คือโครงสร้างของกรอบกติกาใหม่ที่ท�าให้ “เสียงทุกเสียงมีค่า และ ถูกนับโดยเฉพาะเสียงตกน�้า) ดังนั้น
                  สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์นั้นหากมีโอกาสได้ลงสมัครในสนามการเลือกตั้งทั่วไปก็จะมีส่วนส�าคัญท�าให้พรรคอื่น ๆ

                  มีโอกาสได้รับคะแนนเสียงซึ่งสามารถน�าไปรวมและค�านวณเป็นคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคตนได้
                  (กรณีของการย้ายไปลงสมัครในนามของพรรคพลังประชารัฐ 7 คน - และได้รับเลือกถึง 5 คน - และย้ายไป

                  พรรคภูมิใจไทย 6 คน และรวมพลังประชาชาติไทย 2 คน)  นอกจากนี้แล้ว ยังรวมไปถึงการที่ผู้สมัครระดับ
                  สภาผู้แทนราษฎรเดิมของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยแพ้ก็มีกรณีที่ย้ายไปสังกัดพรรคอื่นด้วย


                          อีกสาเหตุหนึ่งในมุมมองของพรรคประชาธิปัตย์ที่ท�าให้พรรคประสบความยากล�าบากในการหาเสียง

                  ในรอบนี้เกิดจากการคาดการณ์ของพรรคว่าการปรับเปลี่ยนเขตเลือกตั้งโดย กกต. มีผลต่อการรณรงค์หาเสียง
                  ของพรรคและการจัดสรรผู้สมัครที่จะลงในพื้นที่เขตที่เปลี่ยนไป เช่น พื้นที่ที่พรรคประชาธิปัตย์มองว่าเป็นปัญหา
                  คือพื้นที่ฝั่งธนบุรี หายไป 1 เขต เดิมเขตตลิ่งชันรวมเขตบางกอกน้อยบางส่วน และเขตบางพลัดรวมเขตบางกอกน้อย

                  ส่วนหนึ่ง แต่การเลือกตั้งครั้งนี้ เขตตลิ่งชันรวมกับเขตภาษีเจริญ และเขตบางพลัดรวมกับบางกอกน้อย ซึ่งเดิม

                  พื้นที่ตรงนี้มี 3 เขต เป็นต้น (ข่าวสด, 2561ก)
   443   444   445   446   447   448   449   450   451   452   453