Page 42 - kpiebook63009
P. 42
42 การศึกษาความเคลื่อนไหวทางการเมืองและพฤติกรรมการเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 2562 จังหวัดสุพรรณบุรี
ลำซำร์สเฟลด์ และคณะ (Pual F. Lazarsfeld, Berelson, and Hazel Gandet, 1944) และ
การศึกษาของเบอเรลสันและคณะ (Bernard R. Berelson, Paul F. Lazarsfeld, and William M.
Mcphee, 1954: 107) ได้ข้อสรุปเชิงทฤษฎีของพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งหลายประการเป็นต้นว่า
การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งทำาให้คนที่ตัดสินใจไว้แล้วว่าจะเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งคนใด เปลี่ยนใจไปเลือกผู้สมัคร
รับเลือกตั้งคนอื่นมีจำานวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และในจำานวนที่เปลี่ยนใจไปนั้นเป็นพวกที่ได้รับอิทธิพล
จากความกดดันของกลุ่มที่นิยมพรรคการเมือง (กลุ่ม Primary) ยิ่งกว่าจะเป็นอิทธิพลของประเด็นนโยบาย
ที่ใช้ในการหาเสียง นอกจากนี้ยังพบว่ามีคนจำานวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่มีการสื่อสารติดต่อกับพรรคการเมืองที่
ตนไม่สังกัด และที่สำาคัญคือ อาชีพ ที่อยู่อาศัย (ชนบท ในเมือง) ศาสนา และอุปนิสัยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
ของบุคคลในอดีตเป็นตัวกำาหนดที่สำาคัญต่อพฤติกรรมการไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของบุคคล
แคมป์เบลล์ และคณะ (1954; Angus Campbell, Philip E. Converse, Warren E. Miller, and
Donald E. Stokes, 1960, 1966) ศึกษาพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง สรุปสาระสำาคัญของทฤษฎี
ที่เกี่ยวข้องกับการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เช่น
• ทฤษฎีควำมส�ำนึกเชิงเหตุผล (Consciously rational Theories) เน้นที่ปฏิกิริยา
ของความสำานึกตรึกตรองของผู้ไปใช้สิทธิออกเสียงที่มีต่อการบริหารการเลือกตั้ง นโยบายของพรรค
และสภาพของผู้สมัครรับเลือกตั้ง ลักษณะดังกล่าวคล้ายกับว่ากรอบความคิดเชิงเหตุผล (rational
framework) ของผู้ไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งเสมือนกับการตัดสินใจของผู้บริโภคในทางเศรษฐศาสตร์
• ทฤษฎีระบบ (Systems Theories) เป็นการศึกษาพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดย
การพิจารณาเชิงระบบทั่วไปว่าปัจจัยแวดล้อมที่เกิดขึ้นเฉพาะช่วงสมัยที่มีการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นปัจจัย
ที่มีผลระยะสั้น (Short-term forces) เช่น ความสนใจในตัวผู้สมัครรับเลือกตั้ง ความเห็นต่อนโยบาย
และปัญหาทางการเมือง ภาพพจน์ที่มีต่อการปฏิบัติงานของพรรค สถานการณ์ภายในและภายนอก
ประเทศ สภาพการแข่งขันของผู้สมัครรับเลือกตั้ง เป็นต้น จะผันแปรไปในแต่ละช่วงสมัยของ
การเลือกตั้ง เมื่อประมวลรวมกันแล้วจะมีผลต่อปัจจัยพื้นฐาน คือ ความนิยมพรรคการเมือง
ซึ่งอาจทำาให้ผู้ลงคะแนนเสียงเปลี่ยนความนิยมพรรคการเมืองจากพรรคการเมืองหนึ่งไปยัง
อีกพรรคการเมืองหนึ่ง เป็นการแกว่งออกจากสภาวะสมดุล “ปกติ” และเมื่อถึงการเลือกตั้ง
คราวต่อไป ก็มักจะแกว่งกลับโดยนัยเดียวกันเช่นนี้เรื่อยไป
ความผูกพันพรรคมีองค์ประกอบหลายประการ บางคนผูกพันพรรคเพราะชอบนโยบายพรรค
ตรงกับตน หรือชอบบุคลิกภาพของผู้นำา ความผูกพันพรรคมิได้หมายความเฉพาะการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
เท่านั้น แต่รวมถึงการสนับสนุนพรรคในรูปแบบต่างๆ อีกด้วย
อย่างไรก็ตามได้เคยมีผู้ศึกษาและสรุปเกี่ยวกับความผูกพันพรรคของคนไทยออกมาว่าการเลือกตั้ง
ของไทยนั้น การลงคะแนนเสียงมักให้ความสำาคัญกับผู้สมัครมากกว่าพรรคการเมือง (สุจิต บุญบงการ
และพรศักดิ์ ผ่องแผ้ว, 2527: 184)