Page 50 - kpiebook63005
P. 50

49








                  มีตำาแหน่งเป็นผู้บริหารของพรรคพลังประชารัฐยังคงทำาหน้าที่รัฐมนตรีถึงวินาทีสุดท้าย ไม่ลาออก ทั้งๆ ที่

                  ถูกวิจารณ์เป็นอย่างมากว่ากำาลังทำาหน้าที่ในฐานะพรรคการเมืองหรือตัวแทนขับเคลื่อนนโยบายประชารัฐ
                  ของรัฐบาล เนื่องจากชื่อนโยบายกับพรรคการเมืองตรงกัน  ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลได้วางเงื่อนไขว่า
                                                                       89
                  รัฐบาลในอนาคตต้องบริหารงานตามกรอบของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยให้วุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญ
                  คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของ

                  ผู้ดำารงตำาแหน่งทางการเมืองทำาหน้าที่วินิจฉัย ที่สำาคัญ รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์คาดว่าจะมีสมาชิกวุฒิสภา
                  ถึง 250 คนที่ คสช. เป็นผู้แต่งตั้งขึ้นมาทำาหน้าที่ลงคะแนนเสียงสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ให้เป็นนายก

                  รัฐมนตรีต่อไป ฯลฯ


                          ด้วยการกุมความได้เปรียบฝ่ายเดียวมาตลอด จึงไม่แปลกใจที่ผลสำารวจประชามติของ
                  สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ในปลายเดือนพฤศจิกายน

                  2561 พบว่า นโยบายบัตรคนจนนั้นประชาชนชื่นชอบมากกว่านโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค
                  ในสมัยพรรคไทยรักไทยเสียอีก สังศิตเปิดเผยว่า จากการรวบรวมข้อมูลจากประชากร 8,000 ตัวอย่าง

                  350 เขตเลือกตั้งใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ พบว่า ประชาชนจะเลือกพรรคพลังประชารัฐ 26.61%
                  พรรคเพื่อไทย 23.64% พรรคประชาธิปัตย์ 19.01% พรรคอนาคตใหม่ 8.84% พรรคภูมิใจไทย 2.50%

                  และพรรคอื่นๆ 19.40% สังศิตฟันธงว่า “ผมมองว่า พรรคพลังประชารัฐอาจจะชนะเด็ดขาดได้เลย
                  เพราะเขาสามารถจับกลุ่มเป้าหมายคือ กลุ่มคนจนประมาณ 11 ล้านคน และผลิตนโยบายมาตอบสนอง

                  ได้อย่างต่อเนื่อง พูดง่ายๆ บัตรคนจนเอาชนะ 30 บาทรักษาทุกโรคได้แบบไม่เห็นฝุ่น ซึ่งวาทกรรม
                  เรื่อง 30 บาทของคุณทักษิณ ที่พูดมาตลอดนั้น มาถึงจุดที่แพ้แล้ว คนรู้สึกว่าบัตรคนจนเป็นประโยชน์

                          90
                  มากกว่า”  อีกไม่นานต่อมา สังศิตยังได้ยำ้าผลสำารวจประชามติอีกว่า จากนโยบายด้านเศรษฐกิจของ
                  รัฐบาลจะทำาให้ พรรคพลังประชารัฐจะชนะและได้คะแนน 8.310 ล้านเสียงหรือนับเป็น 21.5% ของ

                  ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส่วนพรรคประชาธิปัตย์จะได้รับ 7.045 ล้านเสียงหรือนับเป็น 18.3% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
                  และอันดับสามคือพรรคเพื่อไทยจะได้รับ 6.532 ล้านเสียงหรือนับเป็น 16.9% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 91


                          กล่าวได้ว่า นโยบายประชารัฐส่งผลให้ความนิยมต่อพล.อ.ประยุทธ์เพิ่มสูงขึ้น ในความเป็นจริงแล้ว
                  ลักษณะโครงการจำานวนมากมีลักษณะเป็นชุดโครงการประชานิยม ซึ่งกลุ่มผู้สนับสนุนพล.อ. ประยุทธ์

                  เคยโจมตีนโยบายประชานิยมของพรรคไทยรักไทยเรื่อยมาถึงพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้ นโยบายประชารัฐ

                  มีส่วนทำาให้เครื่องหมายและชื่อเสียงของพรรคพลังประชารัฐดูโดดเด่น เป็นการปูทางรองรับการเป็น
                  ผู้ถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ คือพล.อ. ประยุทธ์ ได้เป็นอย่างดี



                  89  “09.00 INDEX คำาถาม ถึงบทบาท “กอ.รมน.” สะเทือน กระทบ “4 รัฐมนตรี”” มติชน, 28 มกราคม 2562 https://
                  www.matichon.co.th/politics/news_1337621 (เข้าถึงเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2562)
                  90  สังศิตฟันธงพปชร.ชนะเลือกตั้ง ชี้บัตรคนจนมาแรงแซง30บาท” เดลินิวส์, 28 พฤศจิกายน 2561 https://www.
                  dailynews.co.th/politics/679707 (เข้าถึงเมื่อ 1 ธันวาคม 2561)
                  91  “ผลโพลเผย “พลังประชารัฐ” ครองคะแนนนิยมสูงสุด” โพสต์ทูเดย์, 17 กุมภาพันธ์ 2562 https://www.posttoday.
                  com/politic/news/580507 (เข้าถึงเมื่อ 1 มีนาคม 2562)
   45   46   47   48   49   50   51   52   53   54   55