Page 176 - kpiebook63005
P. 176

175








                  ผมก็จะชนะ แต่สงครามการเลือกตั้ง เขาไม่ได้ดูกันแค่ความนิยมส่วนตัว” องอาจกล่าวถึงสาเหตุที่ทำาให้

                  ตนเองไม่ชนะในเขตนี้ไว้หลายประการด้วยกัน


                          ประการแรก ความนิยมในกระแสพรรคเพื่อไทยยังคงสูงลิ่วในพื้นที่เขต 10 “ผมไม่ได้สู้กับแค่
                  ผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ผมต้องสู้กับกระแสพรรคเพื่อไทยด้วย” องอาจยอมรับว่า คะแนนในอำาเภอบ้านไผ่

                  ที่ตนเองชนะบัลลังก์ประมาณ 3,000 คะแนนนั้น ไม่เพียงพอ แต่องอาจมั่นใจมาตลอดว่า ตนเองจะชนะ
                  ผู้สมัครจากพรรคพลังประชารัฐได้แน่นอน ในส่วนของอำาเภอพระยืนกับอำาเภอบ้านแฮดที่องอาจได้คะแนน

                  ไม่ดีนั้น องอาจเล่าว่า “ผมไปลงสองอำาเภอนี้เยอะ ไปแนะนำาตัว ลงไปปราศรัยครบทุกหมู่บ้าน แต่ละจุด
                  มีคนมาฟัง 100-200 คน ไปปราศรัยวันละ 5 จุด หนึ่งวันสมมติมีคนฟัง 500 คน หนึ่งเดือนก็ฟัง 15,000 คน

                  สองเดือนก็ 30,000 คน ผมต้องการทำาให้ชาวบ้านรู้จักว่านี่คือ สจ.องอาจ จากอำาเภอบ้านไผ่ เสียงตอบรับ
                  ที่มีต่อผมก็ดี โพลล์ของผมก็บอกว่าผมจะชนะ แต่เมื่อถึงวันกาบัตร อันนั้นต่างหากที่เป็นของจริงว่า

                  เขาไม่เลือกเรา”

                          ประการที่สอง เป็นผลจากระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ “ถ้าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเก่า ชาวบ้าน

                  จะมีทางเลือก ชอบคนกาพรรคนี้ ชอบพรรคกาอีกพรรคหนึ่ง แต่การเลือกตั้งแบบใหม่กาได้ใบเดียว เป็น

                  เหตุทำาให้คนไม่สามารถแบ่งคะแนนเป็นสองความรู้สึกได้ แม้ประชาชนรัก สจ.องอาจ แต่เขาก็ไปเลือก
                  พรรคเพื่อไทย ทำาให้คะแนนผมในบ้านไผ่ทิ้งไม่ห่าง” องอาจยำ้าอีกทีว่า ตนเองหวังในคะแนนอำาเภอบ้านไผ่
                  จะต้องสูงกว่านี้ แต่ในอำาเภอพระยืนและอำาเภอบ้านแฮด ตนเองคือตัวเลือกอันดับสาม โดยเฉพาะใน

                  อำาเภอพระยืน เนื่องจากเจริญ แซ่เต็ง เป็นคนในพื้นที่


                          ประการที่สาม เนื่องจากผู้สมัครที่เป็นคนบ้านไผ่แย่งคะแนนกันเอง คะแนนจึงเป็นเบี้ยหัวแตก
                  หากพิจารณารายชื่อผู้สมัครที่เป็นคนพื้นเพอำาเภอบ้านไผ่ หากไม่นับองอาจ นับเฉพาะกัลยารัตน์

                  กิตติกัลยานันท์ (9,588 คะแนน) เปรมศักดิ์ เพียยุระ (7,936 คะแนน) และเดชคำารณ สิงคลีบุตร (3,100
                  คะแนน) พบว่าในส่วนนี้มีกว่า 20,000 คะแนน มิรวมผู้สมัครคนบ้านไผ่ที่ได้คะแนนหลักร้อยอีกจำานวนหนึ่ง

                  ซึ่งรวมแล้วมีคะแนนว่า 7,000 คะแนน องอาจวิเคราะห์ว่า คะแนนเหล่านี้ประชาชนไม่เลือกพรรคเพื่อไทย
                  “เพราะถ้าเลือก พวกเขาก็เลือกไปแล้ว แต่ประชาชนเลือกตัวบุคคล สมมติว่าถ้ากัลยารัตน์ เปรมศักดิ์ เดชคำารณ

                  คนใดคนหนึ่งไม่ลง คะแนนก็จะมาแชร์กันในกลุ่มคนบ้านไผ่ ไม่ต้องมาตัดคะแนนกันเองแบบนี้”


                          ท้ายที่สุด องอาจสารภาพว่า ตนเองผิดหวังกับผลการเลือกตั้ง พร้อมเปรียบเทียบว่า “เหมือน
                  จีบสาว แต่สาวไม่มาตามนัด” (หัวเราะ) “ผมเชื่อตลอด เราไปทุกงาน งานศพงานบุญงานบวช เราทำา

                  ถนนหนทางมากว่า 20 ปี ผมเชื่อว่าผมจะชนะ พรรคภูมิใจไทยก็เชื่อแบบนั้น” พร้อมแสดงความผิดหวังที่
                  บัลลังก์ซึ่งมิใช่คนในพื้นที่เขต 10 ชนะการเลือกตั้ง องอาจปิดท้ายด้วยข้อกังขาถึงความจริงใจในการดูแล

                  พื้นที่อำาเภอบ้านไผ่ของบัลลังก์ว่า “ระหว่างบ้านเช่ากับบ้านตัวเอง ถ้าเราไปเช่า แล้วหลังคารั่ว อย่างมาก
                  เราก็แค่ย้ายเตียง แต่ถ้าเป็นบ้านเรา เราต้องขึ้นไปซ่อม เราจะรักและหวงแหนบ้านเรา ถ้ามันเป็นของเรา”

                  (สัมภาษณ์วันที่ 17 กรกฎาคม 2562)
   171   172   173   174   175   176   177   178   179   180   181