Page 38 - kpiebook62014
P. 38
จ านวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ของเทศบาลต าบลปอภาร มีทังสิ้น ประมาณ 6,147 คน แบ่งเป็นเพศหญิง 3,196
คน และเพศชาย 2,951 คน ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพท านา ท าไร่ และรับราชการ โดยมีอาชีพเสริมคือ
หัตถกรรม และปลูกยาสูบเตอร์กิส
ด้านการเมืองเทศบาลต าบลปอภาร แต่เดิมมีฐานะเป็นองค์การบริหารส่วนต าบล กระทั่งเมื่อ 2551 ได้ยก
ฐานะเป็นเทศบาลต าบลเนื่องจากมีจ านวนประชากรมากขึ้น และมีการแบ่งจ านวนหมู่บ้านเพิ่มขึ้นจากเดิม 10
หมู่บ้าน เป็น 14 หมู่บ้าน ปัจจุบันเทศบาลต าบลปอภารมีปลัดเทศบาลรักษาการนายกเทศมนตรี (ตั้งแต่ 2559)
ภายหลังจากมีปัญหาการฟ้องร้องว่ามีการทุจริตการเลือกตั้งของนายกเทศมนตรีคนก่อนหน้า
ข้อมูลความขัดแย้งทางการเมือง
ผลจากการสัมภาษณ์ผู้น าท้องที่ ผู้น าท้องถิ่น และนักการเมืองท้องถิ่น ทั้งอดีตและปัจจุบัน รวมไปถึง
เจ้าหน้าที่เทศบาล ได้ความว่าเทศบาลแห่งนี้แต่เดิมมีความรักสามัคคีกัน เพราะผู้ที่อยู่อาศัยในชุมชนต่างเป็นญาติ
พี่น้อง เป็นเพื่อนและคนรู้จักกัน จึงพึ่งพาอาศัยกันมาโดยตลอด กระทั่งเมื่อต้องมีการเลือกตั้งก็ส่งผลให้เกิดการ
แข่งขันกันระหว่างผู้สมัคร น าไปสู่การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายระหว่างญาติพี่น้อง ผู้สมัครต้องลงทุนทางการเมืองสูงเพื่อ
หาเสียงไม่ว่าจะเป็นโดยการมอบเงินสนับสนุนการท ากิจกรรมของชุมชน การมอบสิ่งของเงินทองและความ
ช่วยเหลือให้แก่ชาวบ้านที่เข้ามาร้องขอเป็นรายบุคคล ท้ายที่สุดคือการมอบเงินให้แก่หัวคะแนนเพื่อส่งต่อแก่ผู้
มาสิทธิเลือกตั้งที่มีแนวโน้มจะเลือกฝ่ายตน อาทิ คนสูงอายุที่เมื่อรับเงินจากฝ่ายใดแล้วมักจะยึดมั่นที่จะเลือกผู้
นั้น และผู้ที่มีแนวโน้มกลางๆยังไม่ตัดสินใจเลือกฝ่ายใด เป็นต้น
อดีตนักการเมืองท้องถิ่นท่านหนึ่งให้ข้อมูลว่า การแข่งขันโดยการใช้เงินเพิ่มสูงและรุนแรงยิ่งขึ้นเมื่อ
นักการเมืองระดับชาติที่อยู่ภายนอกชุมชนเข้ามาให้การสนับสนุน สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่กัดเซาะความสามัคคีใน
ชุมชนลง และส่งผลกระทบอย่างชัดเจนเมื่อการเลือกตั้งสิ้นสุดลงฝ่ายที่แพ้การเลือกตั้งมักจะไม่ให้ความร่วมมือ
กับผู้ชนะ ไม่เพียงแต่ผู้สมัครเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงผู้ที่สนับสนุนฝ่ายที่ไม่ได้รับการเลือกตั้งด้วย ส่งผลให้การ
พัฒนาชุมชนไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ กระทบต่อความเข้มแข็งของชุมชนในภาพรวม
ไม่เพียงแต่การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นเท่านั้นที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง การเลือกตั้งในระดับท้องที่
เองก็มีการแข่งขันกันสูงและน าไปสู่การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายไม่แพ้กัน ทั้งยังมีแนวโน้มที่จะแข่งขันกันสูงกว่าการ
เลือกตั้งระดับท้องถิ่นอีกด้วย เนื่องจากการเลือกตั้งในระดับท้องที่นั้นมีเพียง 1 ต าแหน่งเท่านั้น ส่งผลให้ผู้สมัคร
ต้องทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดเพื่อลงทุนทางการเมืองในรูปแบบต่างๆทั้งการสนับสนุนชุมชน การสนับสนุน
รายบุคคล การบ าเพ็ญสาธารณะประโยชน์ การจ่ายแจกงบประมาณบางส่วนให้แก่ผู้ที่เป็นตัวแปรที่จะท าให้พวก
เขาชนะการเลือกตั้ง
31