Page 228 - 22385_Fulltext
P. 228

การศึกษาการบังคับใช้                     การศึกษาการบังคับใช้
 พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย   พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย



 “การกระทำหรือไม่กระทำการใดอันเป็นการแบ่งแยก กีดกัน หรือจำกัดสิทธิ    ผู้ให้สัมภาษณ์ทุกคนยังเห็นพ้องกันว่า การมีอยู่ของข้อยกเว้น
 ประโยชน์ใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยปราศจากความชอบธรรม   ที่ไม่ทำให้การเลือกปฏิบัติเป็นเรื่องไม่ชอบธรรมตามมาตรา 17 วรรคสองที่ว่า
 เพราะเหตุที่บุคคลนั้นเป็นเพศชาย หรือเพศหญิง หรือมีการแสดงออก    “การปฏิบัติตามหลักการทางศาสนา หรือเพื่อความมั่นคงของประเทศ
 ที่แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด” ผู้ให้สัมภาษณ์ทั้งที่เป็นนักวิชาการ    ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ” คือหัวใจสำคัญ

 ด้านกฎหมาย ด้านสิทธิมนุษยชน รวมทั้งคนทำงานภาคประชาสังคม    ที่ทำให้กฎหมายฉบับนี้ขัดแย้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริง เพราะข้อเท็จจริง
 ล้วนตั้งข้อสังเกตถึงถ้อยคำและแนวคิดที่อยู่เบื้องหลังคำคำนี้ซึ่งถือเป็นหัวใจ  เชิงประจักษ์ก็คือข้ออ้างเรื่องหลักศาสนาก็ดี เรื่องความมั่นคงของประเทศก็ดี

 สำคัญของกฎหมาย ซึ่งนอกจากอาจทำให้สังคมสับสนแล้วยังแสดงให้เห็นว่า    มักเป็นต้นตอหรือบ่อเกิดของการเลือกปฏิบัติจำนวนมาก ดังนั้น การหยิบยก
 ผู้ถืออำนาจรัฐและเกี่ยวข้องกับการผ่านกฎหมายขาดความเข้าใจในข้อความ  สองเรื่องนี้ขึ้นเป็นข้อยกเว้นของกฎหมาย จึงนอกจากจะขัดกับหลักสากลแล้ว
 คิด (concept) ว่าด้วยการเลือกปฏิบัติ เพราะยังเข้าใจว่า “การเลือกปฏิบัติ”   ยังแทบทำให้กฎหมายฉบับนี้ไร้ความหมาย กระทั่งกลายเป็นกฎหมาย
 อาจทำได้ ไม่ต้องห้าม และไม่ผิดกฎหมายถ้าเป็นการเลือกปฏิบัติที่     สร้างความชอบธรรมให้กับการเลือกปฏิบัติจำนวนมากเสียเอง

 “เป็นธรรม” ทั้ง ๆ ที่ตามหลักสากลแล้วไม่มีการเลือกปฏิบัติใดที่เป็นธรรม     อนึ่ง ผู้ให้สัมภาษณ์ซึ่งเป็นทั้งคนทำงานภาคประชาสังคมและ
 “การเลือกปฏิบัติ” ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดควรถูกต้องห้าม ในขณะที่การปฏิบัติ    นักวิชาการที่ทำงานร่วมกับองค์การระหว่างประเทศ รวมทั้งเคยเป็นผู้ใช้สิทธิ
 ที่แตกต่างต่อบุคคลโดยมีเหตุผลที่อธิบายได้จะไม่ถูกเรียกว่า “การเลือก  ร้องเรียนกับคณะกรรมการ วลพ. ให้ความคิดเห็นต่อประเด็นนี้ว่า ในประเทศ

 ปฏิบัติ” แล้วตั้งแต่ต้น ตามบทบัญญัติข้อ 1 “การเลือกปฏิบัติต่อสตรี”     ที่พัฒนาแล้ว หรือประเทศที่ค่อนข้างก้าวหน้าในเรื่องสิทธิทางเพศมักมี
 แห่งอนุสัญญา CEDAW เองก็หาได้ใช้คำว่าการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมไม่     หรือให้ความสำคัญในการผลักดันกฎหมายในมิติที่เกี่ยวกับสิทธิของผู้มี
 บทนิยามดังกล่าวยังก่อให้เกิดปัญหาการใช้การตีความด้วยว่าบุคคลเพศใดบ้าง   ความหลากหลายทางเพศอย่างน้อย 3 ฉบับ คือ 1) กฎหมายรับรองเพศ

 ที่กฎหมายฉบับนี้ให้ความคุ้มครอง การบัญญัตินิยามโดยเลือกใช้ข้อความว่า   ที่ส่งผลให้ไม่ว่าเพศกำเนิดของบุคคลจะเป็นอย่างไร หากเพศที่บุคคลนั้น
 “มีการแสดงออกที่แตกต่างจากเพศโดยกำเนิด” แสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจ   เลือกและกำหนดเองแตกต่างออกไปก็จะได้รับการรับรอง ดังนั้น คนข้ามเพศ
 ลักษณะความหลากหลายทางเพศอย่างแท้จริง และอาจทำให้ความคุ้มครอง  จึงสามารถเปลี่ยนคำนำหน้านามได้ เปลี่ยนอัตลักษณ์ทางเพศของตนได้ ทั้งยัง

 ครอบคลุมไปไม่ถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายบางลักษณะ เช่น กลุ่มชายรักชาย   ได้รับการคุ้มครองสิทธิต่าง ๆ ตามเพศที่ตนเลือกด้วย กฎหมายเรื่องแรกนี้
 หรือหญิงรักที่ยังคงแสดงออกเหมือนเพศกำเนิดเพียงแต่มีรสนิยมทางเพศหรือ  นับว่าสำคัญที่สุดเพราะเป็นกรณีที่รัฐให้สิทธิในการกำหนดตนเอง (Self
 วิถีทางเพศชอบคนเพศเดียวกันเท่านั้น ซึ่งทั้งวิถีทางเพศและอัตลักษณ์ทาง  Determination) แก่พลเมือง เมื่อรัฐยอมรับสิทธิของบุคคลอย่างเสมอภาค

 เพศล้วนได้รับความคุ้มครอง และต้องไม่เป็นสาเหตุแห่งการถูกเลือกปฏิบัติ  เท่าเทียมโดยไม่ตั้งเงื่อนไขว่าเขาเป็นใคร ทำอะไร หรือเพศอะไร การถูก
 ตามหลักการยอร์กยาการ์ตา
                   เลือกปฏิบัติย่อมเกิดขึ้นได้ยาก การคุ้มครองสิทธิเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติไม่ต้องรอ
                   ให้ถูกเลือกปฏิบัติเสียก่อนจึงค่อยมาแสดงตนว่าเป็นเพศใดและควรมีสิทธิ



 212  สถาบันพระปกเกล้า                                            สถาบันพระปกเกล้า   213
   223   224   225   226   227   228   229   230   231   232   233