Page 154 - 22385_Fulltext
P. 154

การศึกษาการบังคับใช้                     การศึกษาการบังคับใช้
 พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย   พระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 เพื่อประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย



                           82
 เดียวกันต่อศาลหลายศาล หรือต่อหลายองค์กรต่างกัน (อย่างที่กำหนดไว้ตาม  ต้องห้าม  ดังนั้น ในกรณีของการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศนี้ จึงอาจ
 มาตรา 18 วรรคแรก พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ) นับเป็นสิ่งจำเป็น ชอบด้วย  เป็นเรื่องสมเหตุสมผลที่จะตั้งเป็นข้อสังเกตไว้เช่นกันว่า ควรถือเป็นเรื่องต้อง
 เหตุผล และสอดคล้องกับหลักการสากลที่ว่า “บุคคลจักต้องไม่ถูกพิจารณา  ห้ามเสมอไปหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาอยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่า
 80
 คดีซ้ำสองในความผิดเดียว” (Non bis in idem) แล้ว  โดยหากพิจารณาเฉพาะ   ทั้งประเด็นที่ถูกร้อง ทั้งอำนาจในการสั่งการของคณะกรรมการ วลพ.
 ประเด็นปัญหาและข้อวิจารณ์ที่เกิดขึ้น กล่าวคือ กรณีที่คณะกรรมการ วลพ.   แตกต่างจากอำนาจของศาลปกครองหรือศาลอื่นใด
 ต้องยุติการพิจารณาเหตุเพราะผู้ร้องเรียนนำเรื่องไปฟ้องคดียังศาลอื่นด้วยนั้น     กรณีนี้ ผู้ศึกษาจึงเห็นว่าควรมีการอภิปรายเรื่องนี้อย่างจริงจังขึ้น

 จะเป็นได้ว่า มีลักษณะเสมือนการ “ฟ้องซ้อน” ซึ่งในระบบกฎหมายไทยเอง  เพื่อหาแนวทางร่วมกันว่า ในที่สุดแล้ว พ.ร.บ.ความเท่าเทียมฯ จำเป็นต้องมี
 บัญญัติต้องห้ามไว้ทั้งในคดีแพ่งและคดีอาญา อย่างไรก็ตาม ทั้งหลักการสากล  ข้อบทที่เปิดช่องให้คณะกรรมการ วลพ. สามารถใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่าประเด็น
 81
 ดังกล่าว และการห้ามฟ้องซ้ำ หรือฟ้องซ้อนตามกฎหมายไทย  ล้วนมีเงื่อนไข  ที่อยู่ในอำนาจของตน กับประเด็นที่ผู้เสียหายฟ้องต่อศาลอื่นไปนั้น ทับซ้อนกัน
 และหลักเกณฑ์กำกับในการพิจารณาว่าเข้าข่ายต้องห้ามนั้นหรือไม่     จริงหรือไม่ เพราะหากเป็นคนละเรื่อง คนละส่วนที่แยกจากกันได้

 หากปรากฎว่าประเด็นที่ฟ้องหรือเรื่องที่ร้องขอไม่ใช่เรื่องเดียวกัน แม้จะมี    คณะกรรมการ วลพ. ก็ควรมีอำนาจวินิจฉัยหรือชี้ให้เห็นได้ว่าผู้ร้องถูกเลือก
 มูลเหตุสืบเนื่องหรือเชื่อมโยงมาจากเหตุการณ์เดียวกันก็มีโอกาสที่จะไม่ถูก
                   ปฏิบัติจริงหรือไม่ตามกฎหมายฉบับนี้ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อคุ้มครองและเยียวยา
                   ผู้เสียหายจากการถูกเลือกปฏิบัตินั้นได้อย่างแท้จริง
    80   หลักการหรือแนวคิดพื้นฐานในเรื่องนี้ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับแนวคิดในเรื่องการห้าม
 ฟ้องซ้ำ ดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ รวมทั้งการฟ้องซ้อนไม่ว่าจะในคดีแพ่งหรือคดีอาญา คือ
 หลัก Non bis in idem (Not twice for the same หรือ No double jeopardy)
 ซึ่งหมายถึง “บุคคลจักต้องไม่ถูกพิจารณาคดีซ้ำสองในความผิดเดียว” อันเป็นหลักการ
 ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล มีวัตถุประสงค์ในการจำกัดอำนาจในการพิจารณาคดี
 ของรัฐ และเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของบุคคล ดูประวัติความเป็นมา และหลักเกณฑ์
 เพิ่มเติมใน ธัชพงษ์ วงษ์เหรียญทอง, การดำเนินคดีซ้ำ: ศึกษาคำพิพากษาศาลต่างประเทศ     82   คำพิพากษาฎีกาที่ 8418/2550 ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์
 ต่อการฟ้องคดีอาญาในประเทศไทย, นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิต, คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย  จำเลยตามคำฟ้องในคดีนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลังโจทก์และจำเลยตกลงแบ่งแยกที่ดิน
 ธรรมศาสตร์, 2558, หน้า 12-43.   เป็นสัดส่วนกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาตามยอม
                   คดีถึงที่สุดในคดีก่อนที่ให้โจทก์และจำเลยมีสิทธิในที่ดินคนละครึ่งของจำนวนเนื้อที่ดินทั้งหมด
    81   ฟ้องซ้ำ หมายถึง การนำคดีในเรื่องเดียวกับที่ศาลได้เคยมีคำสั่งหรือคำพิพากษา  ทั้งแปลง ส่วนจะเป็นทางทิศใดจะไปตกลงกันในภายหลัง ทั้งคำขอบังคับในคดีนี้ก็ขอให้บังคับ
 เสร็จสิ้นไปแล้วมายื่นฟ้องศาลอีกครั้งหนึ่ง (หลักการนี้ปรากฏอยู่ทั้งใน ป.อาญา มาตรา 4-11   จำเลยจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของในที่ดินส่วนที่แบ่งแยกเป็นของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว
 ป.วิอาญา มาตรา 39(4) และ ป.วิแพ่ง มาตรา 148) ในขณะที่ ฟ้องซ้อน หมายถึง การฟ้องคดี     แตกต่างกับคำขอบังคับในคดีก่อนที่ขอให้บังคับจำเลยใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของร่วมกับจำเลย
 ที่อาศัยมูลคดีเดียวกันกับคดีที่มีผู้ยื่นฟ้องต่อศาลไว้แล้วและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาโดย
 ศาลยังไม่ได้พิพากษา (ปรากฏในมาตรา 173 (1) ป.วิแพ่ง)    ในโฉนดที่ดิน คำฟ้องของโจทก์คดีนี้กับคดีก่อนมิใช่เรื่องเดียวกันและเป็นคนละเรื่อง
                   คนละประเด็นกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148


 138  สถาบันพระปกเกล้า                                            สถาบันพระปกเกล้า
   149   150   151   152   153   154   155   156   157   158   159