Page 178 - kpi21190
P. 178
178
แม้กฎหมายจะเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ลดความเหลื่อมล้ำ แต่หากผู้เขียนกฎหมายไม่ได้อยู่ข้าง
ประชาชน ก็จะทำให้มีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ดังนั้นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำจะต้องมาแก้ที่
การเมือง และอำนาจของฝ่ายกฎหมายให้ประชาชนมีอำนาจมากขึ้น ฝ่ายนิติบัญญัติต้องมาจากเสียง
ของประชาชน โดยใช้กระบวนการเลือกตั้งในการคัดสรรผู้แทน และต้องแก้รัฐธรรมนูญ โดยให้
ประชาชนมีส่วนร่วมในการร่าง
อาจารย์ได้ชี้ชัดเรื่องกระบวนการยุติธรรมกับเรื่องความเป็นธรรมเพื่อฉายภาพของ
ความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรมให้เห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องของผู้ต้องขัง
ในเรือนจำ ปัจจุบันมีผู้ต้องขังในเรือนจำราว 370,000 คน ในขณะที่เรือนจำมีความจุได้แค่
150,000 คนเท่านั้น โดยในร้อยละ 30 นั้นเป็นผู้ต้องขังที่รอการพิพากษา ซึ่งในรัฐธรรมนูญมาตรา
29 วรรค 2 ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่ได้มีความผิด อยู่รอ
การพิพากษาความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดไม่ได้ อันนี้คือหลักการ
สันนิษฐานไว้ก่อนว่าบริสุทธ์ (presumption of innocence) ซึ่งหลักนี้มีขึ้นเพื่อคุ้มครองประชาชน
แต่ในหลักปฏิบัตินั้นทำไมเขาถึงอยู่ในเรือนจำ และถูกขังรวมกับผู้ต้องหาคนอื่น ๆ รวมทั้งถูก
ปฏิบัติเหมือนกันกับนักโทษที่ต้องใส่กุญแจเท้า ใส่ชุดนักโทษ ตัดผมทรงเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่หากว่า
ตามหลักการเขาคือผู้บริสุทธิ์ตามหลักรัฐธรรมนูญ ซึ่งประเด็นที่อาจารย์ตั้งข้อสังเกตคือหลักประกัน
ของประเทศไทยนั้นมันเป็นการใช้เงินประกันตัว ซึ่งความเหลื่อมล้ำทางการเงินจะสร้างความไม่เป็น
ธรรมในกระบวนการยุติธรรมขึ้น เนื่องจากหากคนมีเงินประกันตัว ในคดีเดียวกันนั้นคนที่มีเงินก็จะ
กลายเป็นคนที่ไม่มีความผิด ไม่ต้องรอพิจารณาคดี ในขณะที่ในประเทศไทยกลุ่มคนจำนวนน้อย
เท่านั้นที่มีเงินประกันตัว ส่วนมากเมื่อคนจนไม่มีเงินประกันตัว ก็ต้องเป็นผู้ต้องหาและถูกขังในเรือน
จำในระหว่างรอพิจารณาดี เมื่อออกจากเรือนจำพวกเขาก็จะมีประวัติอาชญากรติดตัว และ
ไม่สามารถหางานดี ๆ ได้ นี่คือความเหลื่อมล้ำอย่างหนึ่งอันจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกมาก
ซึ่งทางแก้คือจะต้องให้ฝ่ายนิติบัญญัติต้องไปแก้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพื่อ
แก้ปัญหาเรื่องการไม่มีเงินประกัน และการอยู่รอพิพากษาความผิด ว่าจะต้องไปบริการสังคมแทน
ถ้าไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ
การประชุมกลุ่มย่อยที่ 1