Page 5 - kpi19909
P. 5

ง


                   การกําหนดนโยบาย หรือโครงการของรัฐแบบบนลงล่าง (Top-down Approach) โดยที่ภาครัฐ มัก

                   มีอ้างถึงเหตุผลในการดําเนินนโยบาย หรือโครงการของรัฐ ภายใต้ “วาทกรรมการพัฒนา”

                   (Development Discourses) และรัฐก็มีหน้าที่ที่สําคัญ และมีความชอบธรรมที่จะต้องแปลง

                   ทรัพยากรต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์กับความเจริญของประเทศโดยภาพรวม ปราศจากความร่วมมือ
                   ของประชาชน ซึ่งผลที่ตามมา คือ ความรู้สึกไม่สบายใจ ความคับข้องใจ และกลายเป็นความขัดแย้ง

                   ในท้ายที่สุด

                          2) กระบวนการจัดการความขัดแย้งที่พบ พบว่า ประเด็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในพื้นที่

                   ภาคเหนือนั้นเป็นไปในลักษณะของ “ผลที่ลุกลาม” (Result of Escalation) จากความห่วงกังวล
                   ความรู้สึกไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ในประเด็นของผลกระทบทางสังคม ผลกระทบทาง

                   สิ่งแวดล้อม และผลกระทบทางสุขภาพดังกล่าวไว้ในข้างต้น ซึ่งกระบวนการแก้ไขปัญหามักไม่

                   เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด หากแต่กระบวนการแก้ปัญหาจะเริ่มจากการเรียกร้องไปยังหน่วยงานที่

                   เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหา แต่ข้อเรียกร้องนั้นมักถูกเพิกเฉย หรือกลับไม่ได้รับความสนใจ จนลุกลาม
                   จากประเด็นของผลกระทบกลายเป็นประเด็นความขัดแย้ง

                          ทั้งนี้ สภาวการณ์ดังกล่าวได้สร้ าง “บรรยากาศของความไม่ไว้วางใจ” (Mistrust

                   Atmosphere) ปกคลุมในจิตใจของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ ยิ่งกว่านั้น ความไม่ไว้วางใจดังกล่าว

                   ได้ขยายตัวลุกลามกลายเป็น “การระบาดทางอารมณ์”  (Emotional Contagion) ในหมู่ผู้ได้รับ

                   ผลกระทบดังกล่าวทําให้เกิดการรวมตัวกันซึ่งลุกลามไปถึงการลุกฮือขึ้นเพื่อคัดค้าน และต่อต้านการ
                   ดําเนินนโยบาย หรือโครงการของรัฐดังกล่าว ทั้งในรูปของการรวมตัวประท้วง การปิดถนน การยื่น

                   หนังสือประท้วงแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในทุกระดับ ตลอดจนการเดินขบวนเข้า

                   กรุงเทพมหานครเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม และเพื่อเพิ่ม “เสียงในการต่อรอง” (Empowerment)

                   ให้กับข้อเรียกร้องของกลุ่มตนเอง
                          ดังนั้น เมื่อ “ผลกระทบฯ” ลุกลามขยายตัวจนกลายเป็น “ความขัดแย้ง” โดยมี “บรรยากาศ

                   ของความไม่ไว้วางใจ” เป็นตัวกระตุ้นให้บรรยากาศครุกรุ่น กระบวนการจัดการความขัดแย้งที่พบ

                   ส่วนใหญ่จึงเป็นไปในลักษณะของ “การบรรเทาอาการ” กล่าวคือ เป็นไปในลักษณะของข้าราชการ

                   ชั้นผู้ใหญ่เดินทางมารับหนังสือร้องเรียนจากกลุ่มชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ รวมถึงการทําหน้าที่เป็น
                   "ผู้เจรจราเกลี้ยกล่อม" (Lobbyist) ให้ชาวบ้านเข้าใจในเบื้องต้น รับปากว่าจะดําเนินการแก้ไขปัญหา

                   ให้ รับเรื่องไว้เพื่อส่งต่อในระดับที่สูงขึ้น ตลอดจนเป็นประธานในการเปิดเวทีประชุมเพื่อรัลฟัง

                   ข้อเท็จจริงจากประเด็นความขัดแย้งในพื้นที่ แต่อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการแก้ไขปัญหา

                   ดังกล่าวยังเป็นไปในลักษณะของ “การเฝ้าระวังสถานการณ์” ซึ่งเป็นเพียงการบรรเทาอาการ แต่เชื้อ

                   ของความขัดแย้งนั้นยังไม่หายขาด ซึ่งอาจแสดงอาการหรือลุกลามได้อีกเมื่อมีสิ่งเร้า หรือเมื่อไม่ได้
                   รับการดําเนินการตามที่ได้สัญญา หรือรับปากไว้ ซึ่งความขัดแย้งในครั้งหลังนี้จะทวีความรุนแรง
   1   2   3   4   5   6   7   8   9   10