Page 2 - kpi19909
P. 2

ก


                                                    บทสรุปผู้บริหาร



                          กระแสการพัฒนาประเทศภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติตั้งแต่อดีตจนถึง

                   ปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงการมุ่งเน้นการพัฒนาในเชิงวัตถุเพื่อตอบสนองความเจริญเติบโตทางด้าน

                   เศรษฐกิจเป็นสําคัญ ภายใต้ “วาทกรรมการพัฒนา” จากการดําเนินโครงการพัฒนาขนาดใหญ่
                   (Mega-project) ตามแนวนโยบายของรัฐ ได้สร้างภาพจําให้กับคนส่วนหนึ่งที่คาดหวังว่า ด้วย

                   แนวทางการพัฒนาดังกล่าวจะนํามาซึ่งการมีคุณภาพชีวิตทั้งทางขึ้นเศรษฐกิจ และสังคมที่ดีขึ้น

                   อย่างไรก็ตาม จากสถิติและข้อมูลอีกด้านหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบด้านลบที่เป็นผลพวกมา

                   จากการพัฒนานั้นเช่นกัน ผลจากการพัฒนาในลักษณะที่ขาดการกระจายตัวอย่างทั่วถึง ส่งผลให้
                   เกิด “ปัญหาความเหลื่อมลํ้าและความไม่เท่าเทียม” ในการเข้าถึงทรัพยากร ซึ่งลุกลามและ

                   กลายเป็น “รากเหง้าของความขัดแย้ง” (Roots of Conflict) อันนําไปสู่ความรุนแรงในสังคมใน

                   ท้ายที่สุด (กมเลศ โพธิกนิษฐ, 2554, หน้า 5-9).

                          ข้อมูลเชิงประจักษ์ที่แสดงให้เห็นความเป็นจริงอีกด้านหนึ่ง คือ กว่า 40 ปีที่ผ่านมาประเทศ

                   ไทยใช้แนวทางการพัฒนาที่มุ่งสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเน้นอุตสาหกรรมและการ
                   ส่งออก คู่ไปกับแนวคิดความทันสมัย (Modernization) และโลกาภิวัตน์ (Globalization) ซึ่งอยู่

                   ภายใต้กรอบของทุนนิยม ประชาธิปไตย แบบตะวันตก ทําให้ ประเทศไทยมีลักษณะ "ทันสมัยแต่ไม่

                   พัฒนา (Modernization without development)" ส่งผลให้สิทธิชุมชนท้องถิ่นผู้เป็นเจ้าของพื้นที่ถูก

                   ทิ้งไว้ด้านหลัง (สํานักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2557, หน้า 196)
                          นอกจากนี้ รายงานผลการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยคณะกรรมการสิทธิ

                   มนุษยชนแห่งชาติ พบว่า โครงการพัฒนาตามแนวนโยบายของรัฐหลายๆ โครงการก่อให้เกิด

                   ผลกระทบต่อชุมชนและสภาพแวดล้อม ปัญหาสําคัญประการหนึ่งเนื่องมาจากการดําเนินการ

                   โครงการเหล่านั้นไม่ได้มาจากความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ตลอดจนการไม่เปิดโอกาสให้
                   ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น ยิ่งกว่านั้น กลยุทธ์ “การประนีประนอมยอมความ”

                   ผ่านวิธี “การจ่ายค่าชดเชย” มักถูกใช้จากรัฐบาลในหลายยุค หลายสมัย เสมือนกับว่าเป็นกลยุทธ์

                   หลักในการบริหารความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเสมือนเป็นสิ่งปกติ ซึ่งแนวทางดังกล่าวนั้นมุ่งเน้นไปที่การ

                   ให้ความสําคัญและชดเชยในมิติทาง “เศรษฐกิจ” และ “ตัวเงิน” เป็นหลัก หากแต่ละเลย และไม่ให้

                   ความสําคัญกับ “คุณค่าทางจิตใจ” และ “ระบบความสัมพันธ์” อย่างเพียงพอ จนทําให้ประเด็น
                   ปัญหาดังกล่าวลุกลาม และขยายตัวสู่ความหวาดระแวง (Suspicious) ไม่ไว้ใจ (Mistrust) และ

                   ขยายตัวไปสู่ความขัดแย้งระหว่างชุมชน โดยกลุ่มชาวบ้าน และองค์กรภาครัฐ ซึ่งยากที่จะประสาน

                   และทําให้คืนดีดังเดิมในระยะเวลาอันสั้น (อาภา หวังเกียรติ, 2558).
   1   2   3   4   5   6   7