Page 318 - kpi19903
P. 318
283
นอกจากนี้การเลือกพรรคการเมืองและหัวหน้าพรรคการเมืองที่ตนมีความเชื่อมั่นศรัทธายังท าให้เกิดความ
มั่นใจในการแก้ไขปัญหาบ้านเมือง (Sniderman, Brody, & Tetlock, 1991)
สิ่งที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือการแบ่งขั้วทางการเมือง (Political polarization) ในการเลือก
ระหว่างสองพรรคคือพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์นั้นปรากฎชัดเจนในตัวแบบด้วยเช่นกัน โดยที่ค่า
สัมประสิทธิ์ของสมการท านายมักเป็นไปในทางตรงกันข้ามกันอย่างชัดเจนทั้งในการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตและ
แบบบัญชีรายชื่อ กล่าวคือคนไทยตัดสินใจแบบเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง (All or none) ในการตัดสินใจทาง
การเมืองค่อนข้างชัดเจน
ความเป็นภูมิภาคนิยมในการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่ปรากฎชัดเจนในการศึกษานี้ ภาคใต้เป็นฐานเสียงของ
พรรคประชาธิปัตย์ทั้งการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ ส่วนภาคกลางและภาคเหนือเป็นฐานเสียงของ
พรรคเพื่อไทยอย่างชัดเจน แม้ทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยจะอธิบายว่าการเมืองไทยนั้นขับเคลื่อนโดยความ
แตกต่างระหว่างสังคมเมืองและชนบท โดยที่คนในชนบทเลือกพรรคการเมืองที่ตนเองจะได้ประโยชน์มากกว่า
และเนื่องจากมีจ านวนมากกว่าท าให้มีฐานเสียงมากกว่า และการเลือกพรรคการเมืองนั้นท าไปเพื่อให้เกิด
อรรถประโยชน์ทางการเมืองกับตนเองมากที่สุด (Laothamatas, 2013; Loathamatas, 1996) อย่างไรก็ตาม
ความต่างระหว่างสังคมเมืองและชนบทค่อยๆ ลดลงไปตามพัฒนาการเศรษฐกิจของประเทศและการสื่อสาร
ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศสมัยใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ต ท าให้น่าสนใจศึกษาว่า
เหตุผลของความเป็นภูมิภาคนิยมในการเมืองไทยนั้นเป็นไปตามแนวทาง Rational choice theory หรือ
ทฤษฎีตัวเลือกเชิงเหตุผลซึ่งอาศัยแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมมาอธิบายการเมือง (Downs, 1957a) ใน
ที่นี้การที่ภูมิภาคแตกต่างกันเป็นฐานเสียงทางการเมืองที่แตกต่างกันนั้นมีสาเหตุที่ประชาชนในภูมิภาคที่อยู่
อาศัยนั้นได้รับอรรถประโยชน์จากพรรคการเมืองที่เป็นฐานเสียงมากกว่าหรือไม่เป็นค าถามการวิจัยที่น่าสนใจ
ศึกษาและมีแนวโน้มที่จะมีความเป็นไปได้สูง
ทั้งนี้ทฤษฎีตัวเลือกเชิงเหตุผลยังช่วยอธิบายเหตุผลด้วยว่าท าไมผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีความพึงพอใจต่อ
การท างานของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะมีแนวโน้มที่จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์สูงมากทั้งในการเลือกตั้งระบบ
แบ่งเขตและบัญชีรายชื่อ โดยเหตุที่ตนเองน่าจะได้รับอรรถประโยชน์ทางการเมืองสูงสุด
นอกจากนี้คนไทยยังเลือกพรรคการเมืองและนักการเมืองที่เป็นตัวแทนความคิดทางการเมืองของ
ตนเองอย่างชัดเจนทั้งในการเลือกตั้งระบบแบ่งเขตอันเป็นไปตามทฤษฎีอัตลักษณ์ทางสังคม (Social identity
theory) (Haslam et al., 2009; H. Tajfel & J. Turner, 1986; J. Turner & P. Oakes, 1986; Turner &
Reynolds, 2008) อันเป็นทฤษฎีที่อธิบายว่าคนเราพยายามจะสร้างความรู้สึกเป็นพรรคพวกเดียวกัน ท าให้
เกิดการเป็นกลุ่มเดียวกัน และท าให้เกิดการจัดประเภททางสังคมโดยอ้อม และท าให้เกิดการเสริมสร้างอัต
ลักษณ์ในตน โดยเฉพาะอัตลักษณ์ทางการเมือง (Ben-bassat & Dahan, 2012; Duell & Valasek, 2017)
ผลจากการศึกษานี้พบว่าตัวแบบท านายพฤติกรรมการเลือกตั้งนั้นมีความแม่นย าค่อนข้างสูง (>82%)
อย่างไรก็ตามการอธิบายพฤติกรรมการเลือกตั้งของคนไทยมีความซับซ้อนและไม่สามารถอาศัยเพียงทฤษฎีใด
ทฤษฎีหนึ่งได้ซึ่งในการศึกษานี้ได้ต้องอาศัยถึง 4 ทฤษฎีคือ 1. ทฤษฎีค่านิยมทางการเมือง (Political valence)
อันเป็นทฤษฎีทางสังคมวิทยา 2. ทฤษฎีตัวเลือกเชิงเหตุผล (Rational choice) อันเป็นทฤษฎีที่มีรากฐานทาง
เศรษฐศาสตร์ 3. ความเป็นภูมิภาคนิยม (Regionalism) ซึ่งมีรากฐานมาจากทฤษฎีทางภูมิศาสตร์ และ 4.