Page 30 - kpi19903
P. 30
4
นิยม (Conservative party) มากกว่ากลุ่มคนที่มีรายได้ต่ าหรือคนจน เช่นเดียวกับการศึกษารายได้ (Income)
กับผลของการเลือกตั้งของแต่ละรัฐในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้รายงานว่ารายได้มีผลต่อการลงคะแนนเสียง
เลือกตั้ง โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีรายได้สูงหรือคนรวยมีแนวโน้มที่จะเลือกพรรครีพับลิกัน (Republican) ส่วน
คนที่มีรายได้ต่ าหรือคนจนมีแนวโน้มที่จะเลือกพรรคเดโมแครต (Democrats) ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากนโยบายของ
ผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง นอกจากนี้ยังพบอีกว่า เชื้อชาติและศาสนาก็มีผลต่อการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งด้วย (A
Gelman, 2010)
การศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกตั้งในประเทศไทยที่ผ่านมาส่วนใหญ่ได้วิเคราะห์พฤติกรรมใน
ระดับบุคคล ซึ่งไม่อาจจะท าให้เห็นความสัมพันธ์กับผลการเลือกตั้งได้อย่างชัดเจน การศึกษานี้จึงได้วิเคราะห์
เป็นรายเขตเลือกตั้งเพื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชื่อมโยงในเขตเลือกตั้งและระหว่างเขตเลือกตั้งที่อยู่ในละแวก
เดียวกันว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร เขตเลือกตั้งที่มีลักษณะของประชากรแบบไหนถึงจะเลือกพรรคเพื่อไทย
พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคอื่น ๆ หรือเขตเลือกตั้งใดที่ท าบัตรเสีย และไม่ไปเลือกตั้งท าให้ได้ทราบถึง
ภาพรวมในระดับเขตเลือกตั้งหรือในระดับที่ใหญ่กว่าที่จะน าไปพยากรณ์ต่อได้ว่าเขตเลือกตั้งที่มีลักษณะแบบ
ไหนจะเลือกหรือไม่เลือกพรรคใด และเขตเลือกตั้งที่อยู่ติดกันมีแนวโน้มที่จะมีพฤติกรรมการเลือกตั้งไปในทาง
เดียวกันหรือไม่ อย่างไร
การศึกษาพฤติกรรมการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป (ส.ส.) ในปี 2554 ได้
พิจารณาตัวแปรที่มีความสัมพันธ์กับการเลือกตั้ง คือ ตัวแปรประชากร ตัวแปรเศรษฐกิจและสังคม ตัวแปร
ภูมิศาสตร์ ผลการเลือกตั้งในอดีต (ผลการเลือกตั้งในปี 2548 และ 2550) โดยเปรียบเทียบความสัมพันธ์ของ
ตัวแปรด้านต่าง ๆ กับผลการเลือกตั้งที่พิจารณาและไม่ได้พิจารณาความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ เพื่อวิเคราะห์รูปแบบ
การกระจายเชิงพื้นที่ของผลการเลือกตั้งในปี 2554 โดยใช้สถิติ Moran’s I และหารูปแบบการกระจายเชิง
พื้นที่โดยใช้ Local Indicators of Spatial Association (LISA) และสร้างตัวแบบการวิเคราะห์ถดถอยเชิง
พื้นที่ (Spatial Regression Model) เพื่อพยากรณ์ผลการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
แนวทางที่สองเป็นการศึกษาผลการเลือกตั้งโดยมีหน่วยวิเคราะห์ (Unit of analysis) เป็น ตัว
บุคคล (Individual) ซึ่งท านายพฤติกรรมการเลือกตั้งของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง (Voters) เป็น รายคน
เพื่อเข้าใจพฤติกรรมการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวเลือกในการเลือกตั้ง (Voting choice)
และเพื่อพยายามเข้าใจว่าปัจจัย กฎเกณฑ์ หรือหลักการใด ที่อาจจะอยู่เบื้องหลังในการน ามาซึ่งการตัดสินใจ
ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งคนหนึ่งว่าจะเลือกผู้สมัครคนใดคนหนึ่งจากผู้สมัครหลาย ๆ คนนั้น ถือได้ว่าเป็นแนวทาง
การศึกษาที่นอกจากจะได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงและยังถูกศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วนในการศึกษาสาขาวิชา
รัฐศาสตร์ (Abramson, Aldrich, & Rohde, 2004; Clarke, Kornberg, & Scotto, 2009) และแม้จะมี
การศึกษาอย่างมากมาย แต่กรอบการศึกษาที่นิยมใช้ในการศึกษาเรื่องนี้ก็สามารถจ าแนกออกเป็นกรอบ
การศึกษาหลัก ๆ ออกเป็นด้านต่าง ๆ ดังนี้ กรอบการศึกษาด้านสถานภาพทางสังคม (The Sociological
Model) กรอบการศึกษาด้านปัจจัยทาง สังคม-จิตวิทยา (The Social-Psychological Model) กรอบ
การศึกษาตามทฤษฎีการตัดสินใจเชิงเหตุผล (Rational Choice Theory) และกรอบการศึกษาตามทฤษฎี