Page 29 - kpi19903
P. 29

3



                       การศึกษาการเลือกตั้ง ระบบเลือกตั้ง รวมถึงพฤติกรรมของการเลือกตั้งของประชาชนจึงมีความส าคัญ
               เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากการเลือกตั้งเป็นวิธีการที่ถ่ายทอดความพึงพอใจของประชาชนต่อพรรคการเมืองหรือตัว

               ผู้สมัครที่ชื่นชอบออกมาเป็นคะแนนเสียง ซึ่งจะส่งผลต่อจ านวนที่นั่งในสภาที่พรรคการเมืองต่าง ๆ จะได้รับ

               (พรรณชฎา ศิริวรรณบุศย์, 2554)
                       แนวทางหนึ่งที่ในการศึกษาพฤติกรรมการเลือกตั้ง ก็คือ การอธิบายความสัมพันธ์ทางพื้นที่ระหว่าง

               ปรากฏการณ์ทางการเมือง ซึ่งคือการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง และการกระจายของผลการเลือกตั้งเชิง

               พื้นที่ ซึ่งจะถูกน ามาแสดงโดยแผนที่ การกระจายหรือการกระจุกตัวบนพื้นที่ที่ปรากฏบนแผนที่นั้น จะแสดงให้
               เห็นอย่างแน่ชัดถึงพฤติกรรมการเลือกตั้งในพื้นที่หนึ่ง ๆ ว่ามีลักษณะเป็นเช่นไร ไม่ใช่เพียงแต่ผลคะแนนของ

               การเลือกตั้งเท่านั้นที่จะปรากฏบนแผนที่ แต่จ านวนคะแนนเสียงนั้นยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือวัดท่วงทีที่มีต่อ

               การเลือกตั้ง การยอมรับ หรือการมีอคติต่อพรรคการเมืองหรือปรากฏการณ์ทางการเมืองอีกด้วย (สุพรรณี
               ชโลธร, 2538) แนวทางนี้หน่วยการวิเคราะห์ (Unit of analysis) จะเป็นเขตเลือกตั้ง (Electorate) และสนใจ

               ความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ (Spatial relationship) ในการวิเคราะห์ด้วย

                       ยกตัวอย่างเช่น ผลการศึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์การเลือกตั้งของไทยใน พ.ศ. 2548, 2550 และ
               2554 ซึ่งได้น าเสนอผลการวิเคราะห์คะแนนจากการเลือกตั้งลงบนแผนที่เฉพาะเรื่อง (Thematic map) เพื่อดู

               การกระจายของคะแนนการเลือกตั้งในแต่ละเขตเลือกตั้งทั่วประเทศ โดยได้ใช้การลงจุดในแผนที่และแสดงสี

               ของจุดเป็นสัญลักษณ์แทนผู้ชนะจากพรรคต่าง ๆ ในแต่ละเขตเลือกตั้ง ผลการศึกษา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจน
               ถึงผลคะแนนการเลือกตั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้ของประเทศ ที่

               แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันกันอย่างเข้มข้นระหว่างสองพรรคการเมืองใหญ่ (Ueranantasun, 2012)

                       ทั้งนี้ ในมุมมองของการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ซึ่งมีรูปแบบที่หลากหลายนั้น มีความจ าเป็นที่
               จะต้องศึกษาถึงความสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นร่วมด้วย เนื่องจากในบริบทเชิงพื้นที่นั้นย่อมมีความแตกต่างกันไป

               โดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะทางกายภาพ วัฒนธรรมประเพณี เชื้อชาติศาสนา รวมไปถึงฐานะทาง

               เศรษฐกิจและสังคมของประชาชนที่มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งด้วย ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลต่อการแสดงออกทาง
               พฤติกรรมทางการเมือง จากการรวบรวมข้อค้นพบในงานวิจัยที่เกี่ยวกับพฤติกรรมการเลือกตั้งที่ผ่านมา พบว่า

               ภูมิหลังทางเศรษฐกิจและสังคมที่แตกต่างกัน ทั้งในเรื่องการศึกษา รายได้ เขตที่อยู่อาศัย (เมือง ชนบท) โดย

               ผลการวิจัยที่ผ่านมาส่วนใหญ่ พบว่า ปัจจัยเหล่านี้มีความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน กล่าวคือ ประชาชนที่
               มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดี การศึกษาสูง และอาศัยอยู่ในเขตเมือง จะให้ความสนใจต่อการเลือกตั้งน้อย

               กว่ากลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในชนบท ที่มีฐานะทางสังคมเศรษฐกิจและการศึกษาต่ ากว่า อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนที่มี

               ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดี การศึกษาสูง และอาศัยอยู่ในเขตเมืองจะมีการตัดสินใจทางการเมืองที่มีเหตุผล
               มากกว่าและออกไปลงคะแนนด้วยจิตส านึกทางการเมืองที่สูงกว่า นอกจากนี้ ยังพบความแตกต่างของทัศนคติ

               ทางการเมืองที่แตกต่างกันไปในแต่ละภาคของไทยด้วย (สติธร ธนานิธิโชติ, 2550b)

                       รายงานการวิเคราะห์การเลือกตั้งใน 36 ประเทศทั่วโลก ที่ได้วิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างรายได้ที่
               มีผลต่อการเลือกตั้งระดับประเทศ พบว่า กลุ่มคนที่มีรายได้มากหรือคนรวยจะมีแนวโน้มที่จะเลือกพรรคสังคม
   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33   34