Page 291 - kpi19903
P. 291
256
กลุ่มที่หนึ่งคือความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ (Spatial correlation) โดยเป็นไปตามกฎข้อที่หนึ่งและสองของ
ภูมิศาสตร์ที่ว่า 1. ทุกสิ่งในโลกล้วนสัมพันธ์กันแต่สิ่งที่อยู่ใกล้กันจะสัมพันธ์กันมากกว่า และ 2. หากสนใจจะ
ศึกษาสิ่งใดที่เกิดในพื้นที่ให้ศึกษาสิ่งที่เกิดนอกและรอบๆ พื้นที่ด้วย (W. Tobler, 1970b) ผลการศึกษาทั้งใน
และต่างประเทศพบว่าสหสัมพันธ์เชิงพื้นที่สามารถท านายผลการเลือกตั้งได้ดี (D. Cutts & D. J. Webber,
2010; M. T. McGahee, 2008; Ueranantasun, 2012) และผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงบุกเบิกและค่าสถิติเชิง
บรรยายเกี่ยวกับสหสัมพันธ์เชิงพื้นที่ได้น าเสนอไปแล้วในบทที่ 15 สหสัมพันธ์เชิงพื้นที่ของผลการเลือกตั้ง
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อและระบบแบ่งเขต
กลุ่มที่สองคือตัวแปรด้านภูมิศาสตร์อันได้แก่ร้อยละของการใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่งสะท้อนความเป็น
เมือง-ชนบทและภูมิภาคที่อยู่อาศัยอันสะท้อนความเป็นภูมิภาคนิยม ในทางภูมิศาสตร์ การใช้ประโยชน์ที่ดิน
เป็นอีกตัวแปรหนึ่งที่บ่งบอกถึงกิจกรรมของผู้คนในพื้นที่นั้น ๆ เช่นพื้นที่เกษตรกรรม พื้นที่เมืองและชุมชน เป็น
ต้น ซึ่งตามทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยคนในชนบทจะเป็นกลุ่มที่จัดตั้งหรือเป็นฐานเสียงของรัฐบาล และคน
เมืองจะเป็นกลุ่มที่ล้มรัฐบาล (เอนก เหล่าธรรมทัศน์, 2556) ผลการศึกษาในอดีตพบว่าผลการเลือกตั้งมีความ
เป็นภูมิภาคนิยม เช่น ภาคใต้จะเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ภาคอีสานจะเลือกพรรคเพื่อไทย (อรรถสิทธิ์ พาน
แก้ว, 2556a) ผลการศึกษาเชิงคุณภาพพบว่าทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตยมีความเคลื่อนคลายจากการแบ่ง
ทางการเมืองระหว่างสังคมเมืองและสังคมชนบทมาเป็นความแบ่งทางการเมืองระหว่างภูมิภาค (อานนท์ ศักดิ์ว
รวิชญ์ et al., 2559) ซึ่งได้น าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงบุกเบิกและค่าสถิติเชิงบรรยายไปแล้วในบทที่ 13
ภูมิภาคนิยมและภูมิศาสตร์กับผลการเลือกตั้ง: การวิเคราะห์ระดับพื้นที่
กลุ่มที่สามคือตัวแปรด้านพฤติกรรมศาสตร์ซึ่งส าหรับการวิเคราะห์ระดับเขตเลือกตั้งมีข้อมูลคือผลการ
เลือกตั้งในอดีต ทั้งนี้ในทางการเมืองถือว่าฐานเสียงทางการเมืองสามารถท านายผลการเลือกตั้งได้ดี ในขณะที่
ในทางจิตวิทยานั้นกล่าวกันว่าตัวท านายพฤติกรรมในอนาคตได้ดีที่สุดคือพฤติกรรมในอดีต (The best
predictor of future behavior is the past behavior.) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงบุกเบิกและค่าสถิติเชิง
บรรยายได้น าเสนอไปแล้วในบทที่ 8 ปัจจัยเชิงพฤติกรรมกับผลการเลือกตั้ง: การวิเคราะห์ระดับเขตเลือกตั้ง
ซึ่งพบว่าฐานเสียงทางการเมืองนั้นมีอยู่จริงในการเมืองไทยและท านายผลการเลือกตั้งในครั้งต่อมาได้อย่างมี
นัยส าคัญ
กลุ่มที่สี่คือตัวแปรด้านสถานภาพทางสังคมเศรษฐกิจ อันได้แก่ รายได้และรายจ่ายต่อหัวต่อเดือน
สัมประสิทธิ์ความไม่เท่าเทียม (Gini coefficient) ของรายจ่ายและรายได้ สัดส่วนคนจน ระดับการศึกษา
อาชีพ และการมีงานท า เป็นต้น งานวิจัยในอดีตที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรด้านสถานภาพทางสังคม
เศรษฐกิจและผลการเลือกตั้งมีจ านวนมาก เช่น การศึกษาการเลือกตั้งในสหรัฐอเมริกาพบว่ารัฐที่มีฐานะทาง
การเงินดีมีแนวโน้มจะเลือกพรรคเดโมแครตมากกว่าพรรครีพับลิกัน (A Gelman, 2010) ในไทยพบว่ารายได้
สัมพันธ์กับระดับความนิยมของพรรคการเมืองและคนที่มีรายได้ครอบครัวในระดับต่ ามีแนวโน้มที่จะออกไปใช้
สิทธิ์เลือกตั้งมากกว่าคนที่มีรายได้ครอบครัวในระดับสูง (อรรถสิทธิ์ พานแก้ว, 2556a) ประชาชนที่มีสถานภาพ
ทางสังคมเศรษฐกิจดี จะให้ความสนใจต่อการเลือกตั้งน้อยกว่ากลุ่มคนที่มีสถานภาพทางสังคมเศรษฐกิจและ