Page 213 - kpi19903
P. 213
180
ตำรำงที่ 11.2 จ านวน ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่าง
อายุและพฤติกรรมการเลือกตั้งในระดับบุคคล
ระบบเลือกตั้ง พรรคกำรเมือง N M SD F-test p-value
พรรคประชาธิปัตย์ 425 49.8 13.9 1.45 .235
แบ่งเขต พรรคเพื่อไทย 603 49.7 14.1
พรรคอื่น ๆ 430 51.1 15.0
พรรคประชาธิปัตย์ 427 49.3 13.75 2.09 .124
บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย 608 50.0 14.02
พรรคอื่น ๆ 426 51.3 15.10
11.3 ศำสนำกับพฤติกรรมกำรเลือกตั้งในระดับบุคคล
การศึกษาในหัวข้อนี้จะมุ่งเน้นศึกษาและวิเคราะห์ความแตกต่างของพฤติกรรมการเลือกตั้งและศาสนา
ของประชาชน โดยส่วนใหญ่ตัวอย่างที่เก็บรวบรวมข้อมูลนับถือศาสนาพุทธ (ประมาณร้อยละ 90) รองลงมา
คือ นับถือศาสนาอิสลาม (ร้อยละ 9) และอื่น ๆ (ร้อยละ 1) โดยที่มีสัดส่วนของประชาชนที่จะลงคะแนนเลือก
ผู้สมัครในระบบเขตและบัญชีรายชื่อนั้นไม่แตกต่างกันมาก
ผลการทดสอบด้วย Chi-square test of independence พบว่า ศาสนามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม
การเลือกตั้งในระดับบุคคลทั้งการเลือกตั้งในระบบแบ่งเขตและระบบบัญชีรายชื่อ ( =221.86 & 211.47
2
4
ตามล าดับ) ดังตารางที่ 11.3 โดยพบว่าประชาชนที่นับถือศาสนาพุทธส่วนใหญ่เลือกผู้สมัครที่มาจากพรรคเพื่อ
ไทยทั้งในระบบแบ่งเขตและระบบบัญชีรายชื่อ คิดเป็นร้อยละ 45-46 และจะเลือกผู้สมัครจากพรรค
ประชาธิปัตย์เพียงร้อยละ 24 เท่านั้น นอกจากนี้ยังพบว่า ประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามส่วนใหญ่ มักจะ
เลือกผู้สมัครที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ คิดเป็นร้อยละ 83-85 และจะเลือกผู้สมัครที่มาจากพรรคเพื่อไทย
เพียงร้อยละ 6 และเลือกผู้สมัครที่มาจากพรรคอื่น ๆ เพียงร้อยละ 9 เท่านั้น
หากพิจารณาจากแผนภาพกระเบื้อง (Mosaic plot) ดังรูปที่ 11.2 พบว่าประชาชนที่นับถือศาสนา
พุทธ มีแนวโน้มที่จะเลือกผู้สมัครที่มาจากพรรคเพื่อไทยและพรรคอื่น ๆ เลือกพรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างน้อย
เมื่อเทียบกับคนไทยมุสลิม ในขณะที่ประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามก็จะมีแนวโน้มเลือกผู้สมัครที่มาจาก
พรรคประชาธิปัตย์มากกว่าพรรคเพื่อไทย และพรรคอื่น ๆ อย่างมาก และมากกว่าคนไทยพุทธ
สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นที่น่าแปลกใจแต่อย่างใดเนื่องจากฐานเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ คือ ภาคใต้
ซึ่งเป็นภูมิภาคที่ประชาชนนับถือศาสนาอิสลามค่อนข้างมากท าให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างศาสนาที่นับถือกับ
พรรคการเมืองที่เลือกได้อย่างชัดเจน