Page 121 - kpi19903
P. 121
94
อรรถประโยชน์แก่ตน (Downs, 1957a) ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อระบบการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเป็น
อย่างยิ่ง ในการแก้ปัญหานี้ต้องเริ่มต้นจากคนที่มีการศึกษา มีรายได้ดี ให้มีจิตส านึกของความเป็นประชาธิปไตย
ในการไปท าหน้าที่ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งของตนเสียก่อน
ส าหรับปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความตั้งใจที่จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งอย่างมีนัยส าคัญ
ได้แก่ ความสนใจในการเลือกตั้งที่จะมาถึง ความคาดหวังว่าผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ตนเลือกจะชนะ และการไป
เลือกตั้งครั้งก่อนหน้า
แม้ว่าพฤติกรรมการออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งในอดีตนั้นเป็นตัวท านายการออกไปลงคะแนนเลือกตั้งใน
อนาคตที่ดีที่สุด แต่กลับเป็นสิ่งที่แก้ไม่ได้เพราะเป็นอดีต แต่ก็ได้แสดงให้เห็นว่าเมื่อคนไทยเริ่มเห็นความส าคัญ
มาลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งนึงแล้ว จะท าให้มีแนวโน้มที่จะมาเลือกตั้งอีกครั้งอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงสามารถ
เริ่มได้จากการเพิ่มความสนใจในการเลือกตั้งที่จะมาถึง
ความสนใจในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนั้นสัมพันธ์กับความตั้งใจที่จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เพราะ
คนเราจะท าให้สิ่งที่เราสนใจและสนุกที่จะท า (Csikszentmihalyi, 1996) ผลการวิจัยในอดีตพบว่า ความสนใจ
ทางการเมือง เช่น การพูดเกี่ยวกับการเมืองมีส่วนให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากขึ้น (Bimber et al.,
2014) ดังนั้นหากส านักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งจะรณรงค์ให้ประชาชนออกไปเลือกตั้งให้เพิ่มมากขึ้น
ต้องมีการยกระดับความสนใจในการเลือกตั้งที่จะมาถึง หรือพัฒนาความสนใจทางการเมืองให้กับประชาชน
ก่อนล่วงหน้าการเลือกตั้งเป็นระยะเวลายาวนาน ไม่ใช่แค่รณรงค์ในช่วงใกล้เลือกตั้ง เพราะการยกระดับความ
สนใจในการเลือกตั้งต้องใช้เวลาและต้องพัฒนาต่อยอดจากความสนใจการเมือง (Political interest) ต้อง
พัฒนาให้ประชาชนมีความใส่ใจต่อบ้านเมือง ซึ่งอาจจะท าผ่านระบบการศึกษา ต้องเน้นความส าคัญของหน้าที่
พลเมือง (Civic education) ให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้น หรือสร้างกระแสในโลกออนไลน์หรือกระแสสังคมให้เกิดการ
พูดเกี่ยวกับการเมืองและการเลือกตั้งให้มากขึ้น เช่น ใช้การตลาดแบบไวรัล (Viral marketing) มาช่วยในการ
รณรงค์ให้คนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งเพิ่มมากขึ้น
ในส่วนของนักการเมืองและพรรคการเมืองนั้น การท าให้ประชาชนรู้สึกว่าผู้สมัครที่ประชาชนจะเลือก
มีโอกาสและมั่นใจว่าจะชนะ แล้วจะท าให้ประชาชนออกไปเลือกตั้งมากขึ้นและเป็นการเพิ่มโอกาสในการได้รับ
ชัยชนะของนักการเมืองคนนั้นหรือพรรคการเมืองพรรคนั้นเอง อันเป็นไปตามทฤษฎีการกระท าตามแผน (I.
Ajzen, 2012) และทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Albert Bandura, 1986) พรรคการเมืองและนักการเมืองจึง
ไม่ใช่เพียงแค่ท าหน้าที่ขายนโยบายสาธารณะหรือหาเสียงให้ประชาชนชื่นชอบเท่านั้น แต่ต้องท าให้ประชาชน
เชื่อมั่นว่าตนเองจะชนะการเลือกตั้ง และก่อนอื่นต้องมีความเชื่อมั่นในตนเองว่าจะชนะการเลือกตั้งด้วย ซึ่ง
ความมั่นใจดังกล่าวเป็นลักษณะที่จ าเป็นส าหรับการเป็นผู้น า หรือการเป็นตัวแทนของประชาชนแบบไทย ๆ ที่
ต้องการลงคะแนนเสียงให้นักการเมืองหรือพรรคการเมืองที่ตนเองคิดว่าเมื่อลงคะแนนเสียงให้แล้วจะชนะการ
เลือกตั้ง ไม่เป็นการสูญเปล่าที่ได้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไป
การวิจัยในอนาคต ควรศึกษาตัวแปรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยาการเมืองโดยตรงมากขึ้น เช่น ความ
เป็นเสรีนิยม-อนุรักษ์นิยม เจตคติที่มีต่อการเมืองการปกครองในระบบประชาธิปไตยหรือต่อการปกครองใน
ระบบเผด็จการทหาร และสิ่งที่น่าจะศึกษาต่อไปในอนาคตเนื่องจากในต่างประเทศ พบว่ามีผลต่อความตั้งใจที่
จะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งค่อนข้างมาก คือ พฤติกรรมการเข้าถึงสื่อดิจิตัลหรือสื่อสังคม ซึ่งการศึกษาใน