Page 357 - kpiebook65057
P. 357
ได้ให้อำนาจแก่ประชาชนในการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง การเมืองภาคพลเมือง
ได้เปลี่ยนไปสู่การยกระดับจากในเชิงปริมาณมาสู่เชิงคุณภาพมากขึ้น กล่าวคือ
เปลี่ยนจากการรวมกลุ่มของประชาชนชาวบ้านเพื่อเรียกร้องให้มีการบรรเทา
ผลกระทบเชิงนโยบายมาสู่การผลักดันกฎหมายและนโยบายบังคับใช้ ทำให้บริบทของ
การเมืองไทยเกิดการเติบโตของภาคประชาชน การรวมกลุ่มทำกิจกรรมทางการเมือง
และกระบวนการเชิงนโยบายสาธารณะได้รับการตอบรับจากภาครัฐอย่างกว้างขวาง
เกิดนโยบายสำคัญ อาทิ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน หนึ่งตำบลหนึ่ง
ผลิตภัณฑ์์ นโยบายการศึกษา นโยบายด้านสวัสดิการต่างๆ อย่างไรก็ตาม
การที่รัฐธรรมนูญจะให้อำนาจแก่ภาคประชาชนได้ไปลดทอนอำนาจของข้าราชการ
พลเรือนและข้าราชการสายทหาร นำมาสู่ความไม่พอใจและเป็นความขัดแย้ง
อันเป็นชนวนให้เกิดการรัฐประหารอีกครั้งในพ.ศ. 2549 และเป็นจุดเริ่มต้นของวิกฤต
ความขัดแย้งทางการเมืองสืบเนื่องมาจนถึงในปัจจุบัน
การรัฐประหารปี 2549 และปี 2557 คือความพยายามในการสืบทอด
อำนาจของกลุ่มอำมาตย์และชนชั้นนำเดิม ซึ่งมีความละม้ายคล้ายคลึงกับเหตุการณ์
ในช่วงที่เกิดการรัฐประหาร ปี 2490 ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม การรัฐประหาร
ปี 2501 ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อันนำมาซึ่งการหวนกลับของการปกครอง
ในระบบพ่อขุนอุปถัมภ์ หรือการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบอุปถัมภ์
ในสังคมไทย การทำเพื่อผลประโยชน์ให้กับกลุ่มข้าราชการพลเรือนข้าราชการ
ทหารและกลุ่มนายทุนบางกลุ่มแลกกับการสนับสนุนในการครองอำนาจของ
ฝ่�ายทหารและข้าราชการ ในปัจจุบันการเติบโตของระบบอุปถัมภ์และเครือข่าย
ทางการเมืองได้ส่งผลให้เกิดปัญหาเชิงโครงสร้างในหลายด้าน เช่น ความเหลื่อมล้ำ
การฉ้อราษฎร์บังหลวง การเอื้อประโยชน์ให้กับข้าราชการ การเมือง และนายทุน
อย่างการให้สัมปทาน อันเป็นการอุปถัมภ์ซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดปัญหา
ความชอบธรรมของรัฐบาลที่ลดลงต่อเนื่อง ขณะที่การเมืองภาคพลเมือง
เกิดการเติบโตของภาคประชาชนโดยเฉพาะนิสิตนักศึกษาที่ได้รับผลกระทบ
จากการบริหารราชการแผ่นดินที่ไร้ประสิทธิภาพ
302