Page 57 - kpiebook65024
P. 57
56 ประเด็นส�ำคัญที่พึงมีในรัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย
โดยอาจมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปในแต่ละสังคม และเมื่อผู้น�าคนนั้นเสียชีวิต ต�าแหน่ง
ผู้น�าก็จะส่งต่อไปยังทายาทของผู้นั้น เรียกว่าการสืบราชสันตติวงศ์ การปกครอง
ที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยหลักสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 รูปแบบ
(มานิต จุมปา, 2553) คือ
1) ก�รปกครองแบบสมบูรณ�ญ�สิทธิร�ชย์ (Absolute Monarchy)
การปกครองรูปแบบนี้พระมหากษัตริย์จะทรงมีพระราชอ�านาจและพระบรมเดชานุภาพ
เด็ดขาดและล้นพ้นแต่เพียงพระองค์เดียว จึงอาจกล่าวได้ว่า เป็นรูปแบบหนึ่งของ
การปกครองแบบเผด็จการ (ซึ่งไม่ได้ชี้วัดว่าเป็นการปกครองที่ดีหรือเลว) การปกครอง
เช่นนี้พบได้ทั่วไปในประวัติศาสตร์ของประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นผู้ปกครอง
เช่น ประเทศไทยก่อน พ.ศ. 2475
2) ก�รปกครองแบบปรมิต�ญ�สิทธิร�ชย์ (Limited Monarchy)
การปกครองรูปแบบนี้พระมหากษัตริย์จะทรงมีอ�านาจทุกประการ เว้นแต่ที่ถูกจ�ากัด
ไว้โดยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ การปกครองรูปแบบนี้มักเป็นผลสืบเนื่องจาก
พระมหากษัตริย์ในการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยอมจ�ากัดพระราชอ�านาจ
ของพระองค์เอง แล้วพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชน เช่น การปกครองของ
ประเทศซาอุดิอาระเบียในปัจจุบัน
3) ก�รปกครองแบบพระมห�กษัตริย์ภ�ยใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional
Monarchy) ซึ่งพระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราชอ�านาจได้ตามที่รัฐธรรมนูญให้
อ�านาจไว้ ทั้งนี้อาจเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นหรือไม่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ และ
การใช้พระราชอ�านาจของพระมหากษัตริย์จะไม่ได้ด�าเนินการด้วยพระองค์เอง แต่จะมี
องค์กรหรือหน่วยงานเป็นผู้รับผิดชอบแทน ในปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่ที่มีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมุขจะใช้การปกครองรูปแบบนี้ รวมถึงประเทศไทยในปัจจุบันด้วย