Page 202 - kpiebook65024
P. 202

201




                  ในอดีต ประเทศไทยใช้ระบบศาลเดี่ยว แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
           พ.ศ. 2540 ท�าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบศาลของประเทศไทย คือ

           มีการเปลี่ยนจากการใช้ระบบศาลเดี่ยว ซึ่งมีเพียงศาลยุติธรรมเพียงศาลเดียวมีอ�านาจ
           หน้าที่ตัดสินคดีทุกประเภท มาเป็นการใช้ระบบศาลคู่ ซึ่งมีศาลรัฐธรรมนูญ และ

           ศาลปกครองที่มีอ�านาจหน้าที่ตัดสินคดีตามที่รัฐธรรมนูญก�าหนด โดยใช้ระบบไต่สวน
           ซึ่งให้อ�านาจและบทบาทส�าคัญกับศาลในการพิจารณาคดี โดยศาลมีอ�านาจใช้ดุลพินิจ

           ได้อย่างกว้างขวาง ศาลสามารถสั่งให้มีการสืบพยานเพิ่มเติมหรืองดการสืบพยานก็ได้
           และศาลสามารถเรียกพยานหลักฐานมาสืบได้เองหรือไต่สวนหาข้อเท็จจริงและพยาน

           หลักฐานเพิ่มเติมได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อค้นหาข้อเท็จจริงให้ได้ใกล้เคียงความเป็นจริง
           มากที่สุด เปิดโอกาสให้มีการเสนอพยานหลักฐานสู่ศาลได้ทุกชนิด ศาลจึงมีสิทธิรับ

           ฟังพยานบอกเล่า และไม่ใช้หลักยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จ�าเลย (เพลินตา
           ตันรังสรรค์, 2555) ส่วนศาลยุติธรรม ศาลยุติธรรมมีอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดีทั้งปวง

           เว้นแต่คดีที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายบัญญัติให้อยู่ในอ�านาจของศาลอื่น โดยใช้ระบบ
           กล่าวหา และศาลทหารก็ใช้ระบบกล่าวหาเช่นเดียวกัน (พรรณรัตน์ โสธรประภากร,

           พัชรณัฏฐ์ สังข์ประไพ และกิจบดี ก้องเบญจภุช, 2564)

                  ระบบศาลคู่ในประเทศไทยนั้น เห็นได้ว่าประเทศไทยไม่ได้มีแค่ 2 ศาล

           แต่คือศาลทุกศาลมีอ�านาจในการตัดสินคดีตามที่รัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นก�าหนด
           ในลักษณะคู่ขนานกันไป อันประกอบด้วย ศาลยุติธรรม ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง

           และศาลทหาร โดยขอบเขตอ�านาจของแต่ละศาลได้มีการก�าหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ
           โดยมีรายละเอียดก�าหนดไว้ในกฎหมายจัดตั้งศาลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
   197   198   199   200   201   202   203   204   205   206   207